วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สมุนไพรไทย

คนไทยเราเมื่อสมัยก่อนมีการเรียนรู้การใช้สมุนไพรรักษาโรคต่าง ๆ ในหมู่บ้านกันสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน เพราะในอดีต ประเทศไทยมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์มากและและสมุนไพรก็มีมากในอดีต จึงถือว่าเป้นภูมิปัญญาที่บรรพบุรุษสั่งสมเอาไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาความรู้และนำไปใช้ประโยชน์

กล้วยน้ำว้า กล้วยน้ำว้าใช้ทำยาได้ทั้งดิบ และสุก มีประโยชน์มากมายมหาศาล อย่างเช่น กล้วยดิบมีสารฝาดสมาน (Astringent) จึงช่วยในการสมานรักษาอาการท้องเสียที่ไม่รุนแรงได้ เป็นการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันผนังกระเพาะลำไส้ไม่ให้เชื้อโรคและอาหารที่มีรสเผ็ดจัด เช่น พริก เข้าไปทำลายผนังกระเพาะ ลำไส้ โดยกินครั้งละครึ่งผลหรือ 1 ผล อาการท้องเสียจะทุเลาลง และยังช่วยรักษาโรคกระเพาะได้อีกด้วย

กระชาย ตามตำราถือว่ากระชายเป็นยาอายุวัฒนะชั้นหนึ่ง เป็นยาเจริญอาหารและบำรุงธาตุทำให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ผิวพรรณผุดผ่อง สดใส ชะลอความแก่ แก้ใจสั่น แก้วิงเวียน แน่นหน้าอก แก้แผลในปาก แก้ฝีอักเสบ แก้กลากเกลื้อน

กระเทียม กระเทียมเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณ คือ ช่วยลดปริมาณของคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด แก้อาการท้องอืด และแน่นจุกเสียด โดยให้รับประทานกระเทียมดิบๆ ครั้งละประมาณ 5-7 กลีบหลังอาหาร

ขมิ้นชัน ขมิ้นชันนอกจากจะเป็นสมุนไพรที่นิยมนำมาใช้เป็นเครื่องเทศกันมานานแล้ว ยังมีสรรพคุณเป็นยาได้ อีกด้วย เช่น เป็นยาลดกรด แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ขับลม อาหารไม่ย่อย แก้โรคกระเพาะ แก้ปวดท้อง แก้อาการเกร็งกล้ามเนื้อ ทำให้การบีบตัวของลำไส้ลดลง

ขิง ขิงเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ ประโยชน์ของขิงคือช่วยย่อยอาหาร ลดความดัน ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ลดระดับไขมันคอ เลสเตอรอล โดยการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหารในลำไส้ แล้วปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ ช่วยลดอาการอยากเสพยาของคนติดยาเสพติดได้ บรรเทาปวด ลดไข้ ลดอาการเวียนศีระษะ

ตำลึง ตำลึงเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางอาหารสูง ตำลึงถือเป็นยาเย็น ใบช่วยขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน เจ็บตา ตาแดงและตาแฉะ แก้โรคผิวหนัง และลดน้ำตาลในเลือด

ตะไคร้ ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อน เฝื่อน และขมเล็กน้อย นิยมนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงในการประกอบอาหารทุกส่วนของตะไคร้ สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ และแก้อหิวาตกโรค

กระดุมทอง เป็นไม้ล้มลุกที่พบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน หรือตามบ้านเรือนที่ปลูกอาศัยอยู่ เป็นพืชที่ขึ้นได้ง่าย ใบจะสากมีสีเขียวเข้ม ดอกเมื่อบานเต็มที่จะมีสีเหลือง ตามแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่ได้ให้การยอมรับต้นกระดุมทองนี้มากนัก แต่ทางแพทย์แผนโบราณและแพทย์แผนจีนนั้น ถือได้ว่าต้นกระดุมทองนี้มีสรรพคุณทางยาที่สามารถช่วยรักษาโรคเบาหวาน โรคหัวใจและความดันได้เป็นอย่างดี

มะระขี้นก มะระขี้นกเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของไทยอีกชนิดหนึ่งที่มีรสขม มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด แก้ไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ

บัวบก บัวบกเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณหลากหลายทั้งแก้อาการช้ำใน ลดความดันโลหิต

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ภาวะสมองเสื่อม

ภาวะสมองเสื่อม หรือ โรคสมองเสื่อม (อังกฤษ: Dementia, มาจากภาษาละติน de- "ออกไป" และ mens มาจาก mentis "จิตใจ") เป็นภาวะการเสื่อมถอยของหน้าที่การรับรู้อันเนื่องมาจากความเสียหายหรือโรคที่เกิดในสมองซึ่งมักเกิดจากการเสื่อมถอยไปตามอายุ แม้ว่าภาวะสมองเสื่อมจะเกิดขึ้นโดยปกติในประชากรผู้สูงอายุ แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ใหญ่ในทุกระยะ สำหรับกลุ่มอาการที่คล้ายคลึงกันอันเนื่องมาจากหน้าที่ของสมองผิดปกติในประชากรที่อายุน้อยกว่าวัยผู้ใหญ่จะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ความผิดปกติในพัฒนาการ (developmental disorders)
ภาวะสมองเสื่อมเป็นกลุ่มอาการที่ไม่จำเพาะซึ่งเกิดจากความเสื่อมของการรับรู้ไม่ว่าจะเป็นความจำ, ความใส่ใจ, ภาษา, และการแก้ปัญหา ซึ่งหน้าที่การรับรู้ในระดับสูงจะได้รับผลกระทบก่อน ในระยะท้ายๆ ของภาวะสมองเสื่อมผู้ป่วยจะมีอาการไม่รับรู้เวลา (ไม่รู้ว่าเป็นวัน เดือน หรือปีอะไร) สถานที่ (ไม่รู้ว่ากำลังอยู่ที่ไหน) และบุคคล (ไม่รู้จักบุคคลว่าเป็นใคร)
กลุ่มอาการของภาวะสมองเสื่อมนั้นจัดแบ่งออกได้เป็นประเภทย้อนกลับได้ และย้อนกลับไม่ได้ ซึ่งขึ้นกับสมุฏฐานโรค (etiology) ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมน้อยกว่าร้อยละ 10 ซึ่งสามารถกลับมาเป็นปกติหลังจากการรักษาได้ สาเหตุของโรคเกิดจากการดำเนินโรคที่จำเพาะที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับการทำหน้าที่ผิดปรกติของอวัยวะอื่นๆ เช่น อาการหายใจสั้น, ดีซ่าน, หรืออาการปวดซึ่งเกิดมาจากสมุฏฐานต่างๆ กัน หากแพทย์เก็บประวัติผู้ป่วยได้ไม่ดีอาจทำให้สับสนกับกลุ่มอาการเพ้อ (delirium) เนื่องจากมีอาการแสดงที่คล้ายคลึงกันมาก อาการป่วยทางจิต (mental illness) บางชนิด เช่น ภาวะซึมเศร้า (depression) และโรคจิต (psychosis) อาจทำให้เกิดอาการแสดงซึ่งต้องแยกออกจากภาวะสมองเสื่อมและอาการเพ้อ[1]

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รัฐประหารในประเทศไทย

คณะรัฐประหารในประเทศไทยที่ก่อการสำเร็จมักจะเรียกตนเองหลังก่อการว่า "คณะปฏิรูป" หรือ "คณะปฏิวัติ" เพื่อให้มีความหมายไปในเชิงบวก อย่างไรก็ตามมีผู้เสนอว่าการ "ปฏิวัติ" หรือ "อภิวัฒน์" (ฝรั่งเศส: revolution) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองนั้นเกิดขึ้นในประเทศไทยเพียงครั้งเดียวคือเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475

ผู้ที่ก่อการรัฐประหารได้สำเร็จในประเทศไทยมาจากฝ่ายทหารบกทั้งสิ้น ส่วนทหารเรือได้มีความพยายามในการก่อรัฐประหารแล้วแต่ไม่สำเร็จเป็นกรณีกบฏวังหลวง ใน พ.ศ. 2492 และ กบฎแมนฮัตตันใน พ.ศ. 2494 หลังจากนั้นทหารเรือก็เสียอำนาจในแวดวงการเมืองไทยไป

1. รัฐประหาร 1 เมษายน พ.ศ. 2476 พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร พร้อมงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา
2. รัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 นำโดยพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ยึดอำนาจ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี
3. รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี
4. รัฐประหาร 6 เมษายน พ.ศ. 2491 คณะนายทหารกลุ่มที่ทำการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 จี้บังคับให้ นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมอบตำแหน่งต่อให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
5. รัฐประหาร 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 นำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
6. รัฐประหาร 16 กันยายน พ.ศ. 2500 นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี
7. รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี (ตามที่ตกลงกันไว้)
8. รัฐประหาร 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 นำโดย จอมพลถนอม กิตติขจร ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
9. รัฐประหาร 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี
10. รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล นายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรี
11. รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี
12. รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

หมายเหตุ: บางตำราถือการปิดสภา งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 เป็นรัฐประหารครั้งแรก และไม่แยกเหตุการณ์เมื่อ พ.ศ. 2491 เป็นรัฐประหารอีกครั้ง

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เหตุการณ์ 14 ตุลา


สวัสดีครับวันนี้ผู้เขียนยิมยกเอาประวัติ 14 ตุลา มาให้คิด ในวันรัฐธรรมนูญ ของประเทศไทยของเรานะครับ ร่วมละลึกถึงพลังประชาชนที่ขับเคลือนให้ประชาธิปไตย และร่วมละลึกถึงคนที่พลีชีพเพื่อประชาธิปไตยของประเทศเรานะครับ เพื่อความปึกแผ่นของประเทศนะครับ
6 ตุลาคม มีบุคคลร่วมลงชื่อ 100 คน เพื่อเรียกร้องขอรัฐธรรมนูญ ซึ่งประกอบด้วยบุคคลหลากหลายอาชีพ หลายวงการ เช่น นักวิชาการ นักการเมือง นักคิด นักเขียน นิสิต นักศึกษา เป็นต้น จากนั้น นักศึกษา 13 คน นำโดย นายธีรยุทธ บุญมี ได้เดินแจกใบปลิวเรียกร้องรัฐธรรมนูญตามสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพ ฯ โดยอ้างถึงใจความในพระราชหัตถ์เลขาของรัชกาลที่ 7 ที่ส่งถึงรัฐบาลถึงสาเหตุที่ทรงสละราชสมบัติ แต่ทางตำรวจนครบาลจับได้เพียง 11 คน และจับขังนักศึกษาทั้ง 11 คนนี้ไว้ที่โรงเรียนตำรวจนครบาลบางเขนและนำไปขังต่อที่เรือนจำกลางบางเขน พร้อมตั้งข้อหาร้ายแรงว่า เป็นการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ โดยห้ามเยี่ยม ห้ามประกันเด็ดขาด ซึ่งบุคคลทั้ง 13 นี้ ได้ถูกเรียกขานว่าเป็น 13 ขบถรัฐธรรมนูญ จากนั้นจึงได้มีการประกาศจับ นายก้องเกียรติ คงคา นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และตามจับ นายไขแสง สุกใส อดีต ส.ส.จ.นครพนม ขึ้นอีก รวมทั้งหมดเป็น 13 คน โดยกล่าวหาว่า นายไขแสงเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการแจกใบปลิวครั้งนี้ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้สร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นครั้งใหญ่แก่มวลนักศึกษา และประชาชนอย่างมาก จนนำไปสู่การชุมนุมใหญ่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นช่วงของการสอบกลางภาคด้วย แต่ทางองค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) ได้ประกาศและติดป้ายขนาดใหญ่ไว้ว่า งดสอบ พร้อมทั้งยื่นคำขาดให้ทางรัฐบาลปล่อยตัวทั้งหมดนี้ก่อนเที่ยงวันที่ 13 ตุลาคม แต่เมื่อถึงเวลาแล้วรัฐบาลก็หาได้ยอมกระทำไม่
การเดินขบวนครั้งใหญ่จึงเริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ออกไปตามถนนราชดำเนิน สู่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยมีแกนนำเป็นนักศึกษาและมีประชาชนเข้าร่วมด้วยจำนวนมาก (คาดการกันว่ามีราว 500,000 คน) แกนนำนักศึกษาได้เข้าพบเจรจากับรัฐบาลและบางส่วนได้เข้าเฝ้า ฯ จนได้ข้อยุติเพียงพอที่จะสลายตัว แต่ทว่าด้วยอุปสรรคทางการสื่อสารและมวลชนที่มีอยู่เป็นจำนวนมากไม่อาจควบคุม ดูแลได้หมด ก็นำไปสู่การนองเลือดในเช้าตรู่วันที่ 14 ตุลาคม เมื่อเกิดการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนที่บริเวณหน้าพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมจะสลายตัวกลับทางนั้น แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ผ่าน จึงเกิดการปะทะกันกลายเป็นการจลาจล ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และถนนราชดำเนิน พบเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินวนอยู่เหนือเหตุการณ์และมีการยิงปืนลงมาจาก เฮลิคอปเตอร์ลำนั้นเพื่อสลายการชุมนุม โดยผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ยืนยันว่าบุคคลที่ยิงปืนลงมานั้นคือ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร
หลังจากนั้น วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยประกาศว่า จอมพลถนอม ได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว และมีพระบรมราชโองการโปรดแต่งตั้ง นายสัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงมีพระราชดำรัสแถลงออกโทรทัศน์ด้วยพระองค์เอง แต่ทว่าเหตุการณ์ยังไม่สงบโดยกลุ่มทหารได้เปิดฉากยิงเข้าใส่นักศึกษาและ ประชาชนอีกครั้งหลังจากพระราชดำรัสทางโทรทัศน์เพียงหนึ่งชั่วโมงเมื่อนักศึกษาพยายามพุ่งรถบัสที่ไม่มีคนขับเข้าใส่สถานีตำรวจ ที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยเนื่องจากผู้ชุมนุมนับพันยังไม่วางใจในสถานการณ์ ได้มีการประกาศท้าทายกฎอัยการศึกใน เวลา 22.00 น. และ ประกาศว่าจะอยู่ที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยทั้งคืนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ถูก หลอกอีกครั้ง ซึ่งในตอนหัวค่ำวันที่ 15 ได้มีประกาศว่า จอมพลถนอม จอมพลประภาส และ พ.อ.ณรงค์ ได้เดินทางออกนอกประเทศแล้ว เหตุการณ์จึงค่อยสงบลง และวันที่ 16 ตุลาคม ผู้ชุมนุมและประชาชนต่างพากันช่วยทำความสะอาดพื้นถนนและสถานที่ต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหาย

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เนื้อเรื่องย่อสามก๊ก

วันนี้ผู้เขียนเรื่องสามก๊กมา คุยนะครับมันเป็นฉบับย่อๆ ของ เว็บไซด์วิกิพีเดียนะครับ ก็ใครสันใจฉบับเต็มนะครับก็โหลดมาอ่านได้ มีหลายฉบับนะ มีทั้งของ ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) และก็ฉบับสามก๊กคนขายชาตินะครับและมีอีกหลายฉบับนะครับ เป็นเรื่องที่สนุกมาก ถ้าตั้งใจอ่านก็นำมาปรับปรุงเป็นกลยุทธในการทำธุรกิจได้นะครับ
ภายหลังจากที่พระเจ้าฮั่นโกโจ ได้สถาปนาราชวงศ์ฮั่นจนมีการสืบทอดราชวงศ์มามากกว่าสี่ร้อยปี ในยุคสมัยของพระเจ้าเลนเต้เกิดการขัดแย้งกันเองภายในราชวงศ์ฮั่นจนถึงการแย่งชิงอำนาจและราชสมบัติ พระเจ้าเลนเต้ไม่ทรงตั้งตนในทศพิธราชธรรม ขาดความเฉลียวฉลาด เชื่อแต่คำของเหล่าสิบขันที เหล่าขุนนางถืออำนาจขูดรีดราษฏรจนได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว โจรผู้ร้ายชุกชุมปล้นสะดมไปทั่วแผ่นดิน ดังจดหมายเหตุของจีนตอนหนึ่งได้บันทึกไว้ว่า "ขุนนางถือราษฏรดั่งหนึ่งอริราชศัตรู ขูดรีดภาษีอากรโหดร้ายยิ่งกว่าเสือ"[14] เกิดกบฎชาวนานำโดยเตียวก๊ก หัวหน้ากลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองออกปล้นชิงเมืองต่าง ๆ จนเกิดความวุ่นวายแตกแยกแผ่นดินเป็นก๊กเป็นเหล่าจำนวนมาก
ภายหลังพระเจ้าเลนเต้สวรรคต เกิดการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระราชโอรสทั้งสองพระองค์แต่ต่างพระชนนี พระเจ้าหองจูเปียนได้สืบทอดราชสมบัติโดยมีพระนางโฮเฮาผู้เป็นมารดาเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่ในราชสำนักคงเกิดความวุ่นวายจากเหล่าขันทีทั้งสิบ โฮจิ๋นผู้เป็นพระเชษฐาของพระนางโฮเฮาจึงวางอุบายให้ตั๋งโต๊ะมา ช่วยกำจัดเหล่าขันที แต่โฮจิ๋นกลับถูกลวงไปฆ่าทำให้เหล่าทหารของโฮจิ๋นยกกำลังเข้าวังหลวงเพื่อ แก้แค้นจนเกิดจลาจลขึ้น ภายหลังตั๋งโต๊ะยกทัพมาถึงวังหลวงและฉวยโอกาสในขณะที่เกิดความวุ่นวายยึด อำนาจมาเป็นของตน สั่งถอดพระเจ้าหองจูเปียนและปลงพระชนม์ และสถาปนาพระเจ้าหองจูเหียบขึ้นแทน ทรงพระนามว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ และสถาปนาตนเองเป็นพระมหาอุปราช มีฐานะเป็นบิดาบุญธรรมของพระเจ้าเหี้ยนเต้
ตั๋งโต๊ะถืออำนาจเป็นใหญ่ในราชสำนัก สั่งประหารผู้ที่ไม่เห็นด้วยกันตนเองจนเหล่าขุนนางพากันโกรธแค้น โจโฉพยายาม ลอบฆ่าตั๋งโต๊ะแต่ไม่สำเร็จจนต้องหลบหนีไปจากวังหลวงและลอบปลอมแปลงราช โองการ นำกำลังทัพจากหัวเมืองต่าง ๆ มากำจัดตั๋งโต๊ะ แต่กองทัพหัวเมืองกลับแตกแยกกันเองจึงทำให้การกำจัดตั๋งโต๊ะล้มเหลว อ้องอุ้นจึงวางแผนยกเตียวเสี้ยนบุตร สาวบุญธรรมให้แก่ตั๋งโต๊ะและลิโป้บุตรบุญธรรม จนตั๋งโต๊ะผิดใจกับลิโป้เรื่องนางเตียวเสี้ยน ทำให้ลิโป้แค้นและฆ่าตั๋งโต๊ะ หลังจากตั๋งโต๊ะตาย ลิฉุยและกุยกีได้ เข้ายึดอำนาจอีกครั้งและฆ่าอ้องอุ้นตาย รวมทั้งบังคับพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่ภายใต้อำนาจ สร้างความคับแค้นใจให้แก่พระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นอย่างยิ่ง จนมีรับสั่งให้เรียกโจโฉมาช่วยกำจัดลิฉุย กุยกีและเหล่าทหาร
โจโฉเข้าปราบปรามกบฎและยึดอำนาจในวังหลวงไว้ได้ แต่เกิดความกำเริบเสิบสานทะเยอทะยานถึงกับแต่งตั้งตนเองเป็นมหาอุปราช ควบคุมพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่ภายใต้อำนาจอีกครั้ง ข่มเหงรังแกเหล่าขุนนางที่สุจริต พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงใช้พระโลหิตเขียนสาสน์ลับไปยังเหล่าขุนนางที่จงรักภักดี เพื่อให้ช่วยกำจัดโจโฉแต่ถูกจับได้ทำให้เหล่าขุนนางถูกฆ่าตายหมด ความอสัตย์ของโจโฉแพร่กระจายไปทั่วทำให้บรรดาหัวเมืองต่าง ๆ พากันแข็งข้อไม่ยอมขึ้นด้วย โจโฉจึงนำกำลังยกทัพไปปราบปรามได้เกือบหมด แต่ไม่สามารถปราบปรามเล่าปี่และซุนกวนได้ เล่าปี่เป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่นมี ศักดิ์เป็นอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่มีความยากจนอนาถา มีคนดีมีฝีมือไว้เป็นทหารหลายคนแต่มีกำลังไพร่พลน้อยทำให้ต้องคอยหลบหนี ศัตรูอยู่เสมอ จนได้จูกัดเหลียงมา เป็นที่ปรึกษาช่วยวางแผนกำลังรบให้ จึงสามารถตั้งตนเป็นใหญ่ในเมืองเสฉวนได้ สำหรับซุนกวนเป็นเจ้าเมืองกังตั๋งโดยการสืบสกุล เป็นเจ้าเมืองที่มีศีลธรรม ปกครองบ้านเมืองด้วยความยุติธรรมจึงเป็นที่เคารพนับถือและยอมสวามิภักดิ์มาก มาย ทั้งสามฝ่ายต่างทำศึกสงครามกันตลอด แต่ก็ไม่อาจเอาชนะซึ่งกันและกันได้
เมื่อโจโฉตาย โจผีบุตรชายขึ้นครองราชสมบัติแทน สั่งปลดพระเจ้าเหี้ยนเต้และสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ ทรงพระนามว่าพระเจ้าเหวินตี้ ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์วุย เล่าปี่ซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่นก็สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิสืบทอด ราชวงศ์ฮั่น โดยใช้เมืองเสฉวนเป็นเมืองหลวง ซุนกวนซึ่งไม่ยอมขึ้นกับพระเจ้าโจผีหรือเล่าปี่จึงตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิ ปกครองเมืองกังตั๋ง ทำให้ประเทศจีนในขณะนั้นแตกแยกออกเป็นสามอาณาจักรหรือที่เรียกขานกันว่าสาม ก๊กได้แก่ฝ่ายจ๊กก๊กของเล่าปี่ วุยก๊กของโจผีและง่อก๊กของซุนกวน ภายหลังจากพระเจ้าโจผี พระเจ้าเล่าปี่และพระเจ้าซุนกวนสวรรคต เชื้อสายราชวงศ์เริ่มอ่อนแอ สุมาเจียวซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นมหาอุปราชของวุยก๊ก สามารถเอาชนะจ๊กก๊กและควบคุมตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนมาเป็นเชลยได้สำเร็จ หลังจากสุมาเจียวตาย สุมาเอี๋ยนบุตรชายสืบทอดตำแหน่งแทนและช่วงชิงราชสมบัติของวุยก๊กมาจากพระเจ้าโจฮวนและแต่งตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิ ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์จิ้น พระเจ้าสุมาเอี๋ยนสามารถปราบพระเจ้าซุนโฮแห่งง่อก๊กให้ยินยอมสวามิภักดิ์ได้สำเร็จ แผ่นดินจีนที่เคยแตกแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่ามายาวนาน กลับรวมกันเป็นอาณาจักรเดียวได้ดั่งเดิม

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ปืนสั้นหรือปืนพก

อาวุธปืนขนาดเล็กที่สุดนั้นคือปืนสั้นหรือปืนพก ปืนสั้นนั้นมีด้วยกันสามชนิด คือ แบบยิงทีละนัด ปืนลูกโม่ และปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ปืนลูกโม่จะมีจำนวนการยิงตามช่องใส่กระสุนทรงกระบอก ในแต่ละช่องของทรงกระบอกจะบรรจุกระสุนเอาไว้หนึ่งนัด ปืนพกกึ่งอัตโนมัติจะมีช่องปืนเพียงช่องเดียวที่ด้านท้ายของลำกล้องและมีแมกกาซีนที่สามารถเปลี่ยนได้จึงทำให้พวกมันสามารถยิงได้มากกว่าหนึ่งนัด ปืนลูกโม่มาเตบาของอิตาลีเป็นแบบลูกผสมที่หายาก ในการเหนี่ยงไกแต่ละครั้งจะหมุนกระบอกทันทีจนทำให้มันยิงได้อย่างรวดเร็ว ปืนเว้บลีย์ของอังกฤษก็เป็นปืนลูกโม่อัตโนมัติเช่นกัน มันเกิดขึ้นประมาณศตวรษที่ 20
ปืนสั้นแตกต่างจากปืนเล็กยาวหรือปืนไรเฟิลและปืนลูกซองด้วยขนาดที่เล็กกว่า ขาดพานท้าย กระสุนที่ไม่ทรงพลังเท่า และถูกออกแบบมาเพื่อใช้ด้วยหนึ่งหรือสองมือ ในขณะที่คำว่า"ปืนพก"สามารถใช้เพื่อบรรยายถึงปืนสั้น มันมักหมายถึงปืนพกที่ยิงทีละนัดหรือแบบที่ป้อนกระสุนอัตโนมัติ และปืนลูกโม่ก็จะหมายความโดยตรง
คำว่า"ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ"ใช้และบางครั้งก็เข้าใจผิดว่าเป็นปืนอัตโนมัติ เนื่องจากอันที่จริงแล้วคำว่าอัตโนมัติของมันไม่ได้หมายถึงกลไกการยิงแต่เป็นการป้อนกระสุน เมื่อยิงปืนพกกึ่งอัตโนมัติจะใช้แก๊สเพื่อดีดปลอกกระสุนเก่าออกและใส่กระสุนใหม่เข้าไปแทนโดยอัตโนมัติ โดยปกติแล้ว (แต่ก็ไม่เสมอไป) กลไกการยิงก็เป็นระบบอัตโนมัติเช่นกัน ปืนพกอัตโนมัติจะยิงกระสุนหนึ่งนัดต่อการเหนี่ยวไกหนึ่งครั้ง ไม่เหมือนกับอาวุธปืนอัตโนมัติอย่างปืนกลซึ่งยิงตลอดนานเท่าที่เหนี่ยวไกและจะมีปลอกกระสุนที่ยังไม่ได้ใช้ในแมกกาซีน อย่างไรก็ตามปืนพกบางรุ่นก็เป็นแบบอัตโนมัติเต็มที่ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน ทั้ง"กึ่งอัตโนมัติ"และ"บรรจุกระสุนอัตโนมัติ"จึงหมายถึงอาวุธปืนที่ยิงหนึ่งนัดต่อการเหนี่ยวไก
ก่อนศตวรรษที่ 19 ปืนสั้นทั้งหมดเป็นแบบยิงทีละนัด ด้วยการประดิษฐ์ปืนลูกโม่ขึ้นมาในปีพ.ศ. 2321 ปืนพกก็สามารถมีกระสุนได้มากกว่าหนึ่งและมันก็กลายมาเป็นที่นิยม การออกแบบปืนพกบรรจุกระสุนอัตโนมัตินั้นปรากฏตัวขึ้นในทศวรรษที่ 1870 และได้เข้ามาแทนที่ปืนลูกโม่เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อจบศตวรรษที่ 20 ปืนสั้นส่วนมากที่ถูกใช้โดยกองทัพ ตำรวจ และพลเรือนเป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ถึงแม้ว่าปืนลูกโม่ยังคงเป็นที่แพร่หลายอยู่ กองทัพและตำรวจใช้ปืนพกกึ่งอัตโนมัติเพราะว่าความจุของแมกกาซีนที่มากและความสามารถในการบรรจุกระสุนได้อย่างรวดเร็ว ปืนลูกโม่เป็นที่ชื่นชอบในหมู่นักสะสมเพราะว่ามันทรงพลังมากกว่าปืนรุ่นใหม่และความทนทาน ง่ายดาย และแข็งแกร่งทำให้มันเหมาะกับการใช้อย่างทรหด การออกแบบทั้งสองเป็นที่นิยมในหมู่พลเรือนซึ่งขึ้นอยู่กับความชอบของเจ้าของ
ปืนสั้นมีหลายรูปร่างและขนาด ตัวอย่างเช่น "เดอร์ริงเกอร์"เป็นปืนที่มีขนาดเล็กมาก ลำกล้องที่สั้น มักมีหนึ่งหรือสองลำกล้องแต่บางครั้งก็มีมากกว่านั้น ซึ่งต้องบรรจุกระสุนด้วยมือหลังจากทำการยิง ปืนสำหรับการดวล มันถูกใช้อย่างมากในหมู่สุภาพบุรุษ พวกเขามักมีมันเพื่อแสดงถึงตำแหน่งและความสูงศักดิ์ ปืนลูกโม่และปืนพกบรรจุกระสุนอัตโนมัติมีขนาดที่หลากหลาย ซึ่งปืนพกแบบใหม่มักสี่ขนาด ในแต่ละขนาดจะมีข้อดีและข้อด้อย ปืนที่เล็กกว่ามักจะต้องแลกด้วยกระสุนที่น้อยลง ในขณะที่ปืนที่ใหญ่กว่าก็จะมีความแม่นยำมากกว่า ในปืนแบบอัตโนมัติอย่าง เอ็มเอซี-10 กล็อก 18 และเบเรทต้า 93อาร์เป็นการพัฒนาครั้งล่าสุดของศวรรษที่ 20
ปืนสั้นมีขนาดเล็กและมักง่ายที่จะพกพา ดังนั้นทำให้มือทั้งสองนั้นว่างพอที่จะทำอย่างอื่นได้ ปืนสั้นที่มีขนาดเล็กสามารถเก็บซ่อนได้ง่าย ทำให้มันถูกเลือกเป็นอาวุธสำหรับป้องกันตัว ในกองทัพปืนสั้นมักใช้โดยผู้ที่ไม่คาดว่าจะต้องใช้อาวุธปืนจริงๆ อย่างนายพลและนายทหาร และสำหรับผู้ที่ไม่มีที่ว่างพอจะใช้ปืนเล็กยาวอย่างนักบินหรือพลขับยานพาหนะ ในบทบาทสุดท้ายนี้พวกมันมักถูกใช้เป็นคาร์บิน คือปืนเล็กยาวขนาดสั้นซึ่งมักใช้โดยทหารพลร่มเพราะว่าขนาดที่เล็กของมัน ปืนสั้นยังถูกใช้โดยพลปืนเล็กยาวในฐานะอาวุธสำรอง อย่างไรก็ดีความเชื่อถือได้ในการยิงและอำนาจการยิงนั้นก็ตกเป็นของปืนเล็กยาวจู่โจม มันจึงทำให้ปืนสั้นแทบหมดประโยชน์ไปเมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 20 นอกจากกองทัพแล้วปืนสั้นก็มักเป็นอาวุธของตำรวจและพลเรือนตามกฎหมาย
ปืนสั้รมีขนาดที่เล็กและมักทำมาเพื่อบรรจุในซองปืน ดังนั้นมือทั้งสองข้างจึงว่าง ปืนสั้นนั้นง่ายที่จะทำการซ่อน มันจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการใช้ป้องกันตัว ในกองทัพปืนสั้นมักจะถูกใช้โดยผู้ที่ไม่น่าจะต้องใช้อาวุธปืนจริงๆ อย่างนายพลและนายทหาร และใช้โดยผู้ที่ไม่มีพื้นที่พอในการใช้ปืนเล็กยาว เช่น นักบินหรือพลขับ ในบทบาทสุดท้ายนี้มันมักใช้เป็นคาร์บิน คือปืนไรเฟิลขนาดสั้นซึ่งมักถูกใช้โดยพลร่มเนื่องมาจากขนาดที่เล็กของมัน ปืนสั้นถูกใช้เป็นอาวุธรองโดยพลปืนเล็กยาว อย่างไรก็ตามความไว้ใจได้และอำนาจการยิงตกเป็นของปืนเล็กยาวจู่โจมในปัจจุบันและทำให้การใช้ปืนสั้นในวิธีดั้งเดิมเปลี่ยนไปเมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 20 นอกเหนือจากกองทัพแล้วปืนสั้นจะถูกใช้โดยตำรวจและพลเมืองตามกฎหมาย
พลเมืองมีสิทธิในการพกอาวุธในที่สาธารณะเป็นปืนสั้นเท่านั้นยกเว้นเมื่อทำการล่าสัตว์ เพราะอาวุธปืนที่ไม่ได้ปกปิดนั้นจะดังดูดความสนใจและไม่ค่อยปลอดภัยนัก ปืนสั้นยังถูกใช้ในกีฬาถึงแม้ว่าการล่าสัตว์ที่เป็นกีฬานั้นจะไม่เหมาะกับปืนสั้นก็ตาม นักล่าสัตว์บางคนที่ต้องทการล่าในที่ที่แคบก็มักเลือกที่จะใช้ปืนสั้นแทน กระสุนปืนสั้นยังถูกกว่ากระสุนของปืนเล็กยาวและมักมีประสิทธิภาพกับสัตว์หลายชนิด

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ฮิโรชิมากับนางาซากิ

vdo สงครามเกาหลี

vdo สงครามเวียดนาม

ประวัติอาวุธปืน


ในยุคกลางคำว่า"อาวุธปืน"หรือ"ไฟร์อาร์ม" (อังกฤษ: firearm) ถูกใช้โดยอังกฤษเพื่อระบุอาวุธที่จะต้องใช้ไม้ขีดไฟเพื่อจุดระเบิดของปืน ใหญ่ คำดังกล่าวยังเป็นแบบหนึ่งที่ใช้เรียกนักธนูอีกด้วย เนื่องมาจากผลกระทบของการยิงในตอนนั้นพลปืนจึงต้องอยู่ที่ส่วนหลังของปืน ใหญ่ พร้อมอีกมือหนึ่งค้ำเอาไว้ จึงได้ชื่อว่า"แฮนด์กัน" (อังกฤษ: hand gun) กลายมามีความหมายเดียวกับคำว่า"ไฟร์อาร์ม" ถึงแม้ว่าคำว่า"ปืน"หรือ"กัน" (อังกฤษ: gun) ในปัจจุบันจะมักใช้เพื่อหมายถึงอาวุธปืน แต่ในทางทหารหรือผู้เชี่ยวชาญจะใช้เพื่อหมายถึงปืนขนาดใหญ่เท่า นั้น ปืนใหญ่จะมีขนาดใหญ่กว่าอาวุธปืนอย่างมาก มักติดตั้งบนแท่นที่เคลื่อนที่ได้ จะมีขนาดมากถึง 18 นิ้วและอาจมีน้ำหนักถึงตัน อาวุธเช่นนี้ไม่ใช่อาวุธปืน

อาวุธปืนที่ถือได้อย่างปืนเล็กยาว คาร์บิน ปืนพก และอาวุธปืนขนาดเล็กอื่นๆ มักไม่ถูกเรียกว่า"ปืน"หรือ"กัน"ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ ปืนกลจะ ยิงกระสุนขนาดเล็กกว่า (โดยปกติแล้วจะมีขนาด 14.5 ม.ม.หรือเล็กกว่า) และปืนกลมากมายจะมีทหารคอยบังคับมากกว่าหนึ่งนาย เช่นเดียวกันกับปืนใหญ่ โดยปกติแล้วอาวุธปืนอัตโนมัติที่ถูกออกแบบมาเพื่อผู้ใช้เพียงคนเดียวจะเรียก ว่าปืนเล็กยาวอัตโนมัติ

ในศตวรรษปัจจุบันอาวุธปืนได้กลายมาเป็นอาวุธที่มีอำนาจที่ถูกใช้โดยมนุษย์ชาติ ในสงครามยุคใหม่ตั้งแต่ยุคเรอเนสซองซ์ได้มีการใช้อาวุธปืนมากมายในประวัติศาสตร์ทางทหารและประวัติศาสตร์ทั่วไป สิ่งนี้ได้สร้างการรบแบบใหม่ขึ้นมาซึ่งเป็นการหลอมหลอมกองทัพยุตใหม่

สำหรับปืนสั้นและปืนยาวในยุคก่อนๆ นั้นจะใช้กระสุนที่เป็นทรงกลมและมีการเริ่มทำเป็นทรงเรียวในยุคใหม่ แต่ไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยลูกเหล็กทรงกลม กระสุนจะถูกยิงโดยการเผาไหม้ที่รวดเร็วแต่ในอาวุธขนาดเล็กมักจะบรรจุระเบิด ไว้ภายในตัวเองซึ่งถูกสั่งห้ามในสนธิสัญญา (Hague Convention) กระสุนของอาวุธขนาดเล็กถูกสั่งห้ามในสงครามด้วยเหตุผลคล้ายๆ กัน สำหรับปืนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นกระสุนที่มีระเบิดเช่นเดียวกับแบบก่อนๆ

จนกระทั่งถึงทศวรรษที่ 1800 กระสุนและดินปืนถูกแยกออกจากกันถูกใช้โดยอาวุธอย่างปืนเล็กยาว ปืนพก และปืนใหญ่ บางครั้งเพื่อความสะดวกในความเหมาะสมของดินปืนและกระสุนถูกห่อรวมกันใน กระดาษ เรียกว่าปลอกกระสุนปืน (อังกฤษ: Cartridge) สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับท่อเหล็กที่ห่อหุ้มตัวจุดระเบิดและดินระเบิด ซึ่งกระสุนจะวางไว้ที่ปลายตรงกันข้ามกับตัวจุดระเบิด กระสุนแบบมีปลอกนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายและในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมัน ก็ได้กลายมาเป็นกระสุนแบบพื้นฐานสำหรับอาวุธปืนขนาดเล็ก รถถัง และปืนใหญ่ ปืนครกจะใช้การห่อหุ้มที่คล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตามกระสุนและกรอบมักรวมเป็นชิ้นเดียวกันซึ่งจะถูกยิงออกจากอาวุธ ปืน ปืนใหญ่ประจำเรือพิสัยใกล้มีบ้างที่ใช้กระสุนแบบกรอบ แต่ปืนบนเรือประจัญบานและเรือลาดตระเวนส่วนใหญ่ใช้กระสุนระเบิดและแยกออกจาก ดินปืน ซึ่งถูกเลือกตามความต้องการในกระสุนแบบทรงเรียว

ความแตกต่างระหว่างกระสุนกับอาวุธปืนก็คือบางครั้งกระสุนนั้นหมายถึง อาวุธ ส่วนอาวุธปืนนั้นหมายถึงแท่นอาวุธ ในบางกรณีอาวุธปืนสามารถใช้เป็นอาวุธได้โดยตรงในการต่อสู้ระยะใกล้ ตัวอย่างเช่น ปืนเล็กยาว ปืนคาบศิลา และปืนกลมือสามารถติดดาบปลายปืนจนทำให้มันกลายเป็นหอกหรือหลาว ด้วยบางข้อยกเว้น พานท้ายปืนของปืนยาวสามารถใช้เป็นตะบองเพื่อตีได้ มันยังเป็นไปได้ที่จะตีใครด้วยลำกล้องปืนหรือด้ามจับ

ปัญหาของอาวุธปืนคือการเก็บรักษา ตัวกระสุนเองมักทิ้งเศษเอาไว้ และมันอาจก่อให้เกิดการขัดลำกล้องได้ เศษผงเหล่านี้มักก่อให้เกิดการขัดข้องภายในลำกล้อง มันจะส่งผลให้ต้องทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาความมีประสิทธิภาพของ ปืนเอาไว้

บางครั้งอาวุธปืนจะหมายถึงอาวุธปืนขนาดเล็ก อาวุธดังกล่าวคืออาวุธปืนที่สามารถขนย้ายได้ด้วยบุคคลคนเดียว ตามที่ว่าเอาไว้ในกฎหมายสงคราม อาวุธปืนขนาดเล็กถูกจัดว่าเป็นอาวุธปืนซึ่งยิงกระสุนที่ไม่มากไปกว่า 15 ม.ม.[ต้องการแหล่งอ้างอิง] อาวุธปืนขนาดเล็กจะถูกเล็งโดยปกติโดยใช้ศูนย์เล็งธรรมดา ระยะความแม่นยำสำหรับอาวุธปืนขนาดเล็กมักมีข้อจำกัดประมาณ 1,600 เมตร โดยทั่วไปแล้วจัดว่าน้อย ถึงแม้ว่าสถิติในปัจจุบันของปืนซุ่มยิงจะมากกว่า 2.4 กิโลเมตรก็ตาม

ความเป็นมาของรถถัง


สวัสดีครับ วันนี้เราจะมาพูดถึงประวัติความเป็นมาของรถถัง นะครับ ผู้เขียนแต่เขียนเอาแต่เรื่องขำๆ มาเล่า ตลอด เลยจะเอาเป็นการเป็นงานบ้าง 555+ เราเข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะครับ รถถัง เป็นยานพาหนะต่อสู้หุ้มเกราะติดตีนตะขาบที่ ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการรบที่แนวหน้าซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างความคล่อง ตัว การรุก และการป้องกัน อำนาจการยิงของมันมาจากปืนหลักขนาดใหญ่ของมันที่ติดตั้งอยู่บนป้อมส่วนบนที่ หมุนได้พรัอมกับมีปืนกลติด ตั้งอยู่เพื่อเป็นอาวุธรอง ในขณะที่เกราะขนาดหนักและความสามารถในการเคลื่อนที่ของมันเป็นสิ่งที่คอยปก ป้องชีวิตของลูกเรือ นั่นทำให้มันสามารถทำงานหลักของทหารราบยานเกราะได้ทั้งหมดในสมรภูมิ[1]

รถถังเริ่มนำมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยฝรั่งเศสและใช้ต่อสู้ครั้งแรกโดยอังกฤษ เพื่อใช้มันฝ่าทะลุแนวสนามเพลาะ พวกมันถูกใช้ในยุทธการซอมม์ในจำนวนน้อยมาก ในช่วงที่มันถูกสร้างขึ้นมันถูกเรียกว่ายานลำเลียงทางน้ำเพื่อปกปิดความจริง ของมัน คำว่า"แท็งค์" (tank) นั้นมาจากคำว่า "Water tank" ที่แปลว่าถังน้ำ

การพัฒนาในสงครามของมันเกิดขึ้นในสงครามโลกครั้งที่สองทำให้มันเป็นแนวคิดหลักของสงครามยานเกราะซึ่งอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ และเป็นบทบาทหลักในสงครามโลกครั้งที่ 2 สหภาพโซเวียตได้นำรถถังที-34 มาใช้ มันเป็นหนึ่งในรถถังที่ดีที่สุดในสงครามและเป็นต้นตำรับของรถถังหลัก เยอรมนีใช้การโจมตีสายฟ้าแลบ ซึ่งเป็นยุทธวิธีในการใช้กองกำลังรถถังเป็นหลักโดยมีปืนใหญ่และการยิงทางอากาศเข้าสนับสนุนเพื่อเจาะทะลุแนวป้องกันของศัตรู

ปัจจุบันรถถังนั้นไม่ปฏิบัติการเพียงลำพังนัก พวกมันจะรวมกันเป็นหน่วยซึ่งจะมีทหารราบให้การสนับสนุน ทหารเหล่านั้นจะทำงานร่วมกับรถสายพานลำเลียงพลหรือยานพาหนะต่อสู้ทหารราบ รถถังยังถูกใช้ร่วมกับการสอดแนมหรือการโจมตีภาคพื้นดินทางอากาศอีกด้วย

เนื่องมาจากความสามารถและความหลากประโยชน์ของรถถังประจัญบานที่ถูกมองว่าเป็นกุญแจสำคัญของกองทัพยุคใหม่[2] อย่างไรก็ตามในสงครามนอกกรอบได้นำข้อสงสัยมาสู่กองพลยานเกราะ[3] การพัฒนาและวิจัยรถถังในปัจจุบันพยายามจะให้รถถังเผชิญหน้ากับความท้าทายในศตวรรษที่ 21

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ผู้ชายผิดสัญญา.. .คลายเครียด‏

วันหนึ่ง สมชายเกิดปวดท้องขนาดหนัก
จึงรีบวิ่งตรงเข้า ห้องน้ำสาธารณะ แต่..
โชคไม่เข้าข้าง เพราะทุกห้องเต็มเหยียด
แถมไม่มีทีท่าว่าใครจะออกมา

หลังจากที่เขาเดินกระวนกระวายอยู่หลายนาที
เผอิญมีหญิงสาวคนหนึ่งสังเกตเห็นเข้า
และเดาได้ว่าสมชายกำลังกลัดกลุ้มทุกข์หนัก เช่นใด
หญิงสาวจึงตรงเข้ามาหาและพูดด้วยความเห็นใจว่า

“คุณ คะ ๆ ห้องน้ำหญิงว่างอยู่ค่ะ”
“แต่ว่า…อ่า…” สมชายยังมีอาการ ลังเล
“เถอะค่ะ.. ฉันเห็นใจ ฉันยินดีจะเฝ้าหน้าห้องน้ำให้
ถ้าคุณยอมสัญญากับฉัน 3 ข้อ”

หญิงสาวยื่นเงื่อนไข
“ครับ ๆ ๆ ๆ…ผมตกลง สัญญาอะไร บ้างครับ”

สมชายรับปากด้วยความเต็มใจยิ่ง
เนื่องจากอะไรต่อมิอะไรในลำไส้
ใกล้ระเบิดออกมาให้ขายขี้หน้าอยู่รอมร่อ

“ข้อแรก คุณต้องรีบใช้ห้องน้ำให้เร็วที่สุด
เพราะฉันอยู่เฝ้าได้ไม่นาน
เดี๋ยวอาจจะมีสุภาพสตรีที่ต้องการใช้ห้องน้ำมาที่นี่
แล้วเธออาจจะตกใจได้ถ้าเจอคุณอยู่ในนั้น”
หญิงสาวเอ่ยขอคำสัญญาข้อแรก

“อูยยย…เร็ว ๆ ครับ รีบบอกข้อ 2 ข้อ 3 มาด่วนเลย”

“ข้อ 2 คุณต้องรักษาความสะอาด ห้ามทำให้เลอะเทอะสกปรก
เด็ดขาด พวกผู้ชายน่ะ ชอบทำห้องน้ำสกปรก”

“ข้อ 3 ต่อเลยครับ เร็ว ๆ ๆ ๆ”

“ข้อสุดท้ายสำคัญที่สุด.. คุณต้องสัญญาว่า
ห้ามกดปุ่มใด ๆ ทั้งสิ้นในห้องน้ำหญิง นอกเหนือจากปุ่มชักโครก”
คำสัญญาข้อสุดท้าย.. แม้จะทำสมชายค่อนข้างงง
ไม่เข้าใจว่าจะมีปุ่มอะไรในห้องน้ำหญิงนักหนา

แต่เขาก็รับคำเนื่องจากปวดท้องจนทนไม่ไหว
ว่าแล้วสมชายก็วิ่งพรวดเข้าไปในห้องน้ำ
หลังปลดทุกข์ อันหนักหน่วง เฮ้อ สบายตัวแล้ว

เขาจึงมีโอกาสได้พิจารณาห้องเล็ก ๆ โดยรอบ
ซึ่งพบว่าไม่มีอะไรต่างจากห้องน้ำชายสักเท่าไร
เว้นแต่.. ปุ่มแปลกประหลาดจำนวน 3 ปุ่ม
สีเขียว สีฟ้า และ สีแดงอยู่ที่ผนังห้องน้ำ!

แถมปรากฏอักษรย่อ
“น.อ.” ที่ปุ่มสีเขียว
“พ.ล.” ที่ปุ่มสีฟ้า และ
“ด.ผ.อ.น.ม.” ที่ปุ่มสีแดง

สมชายเริ่มเกิดความอยากรู้ อยากเห็น
เพราะห้องน้ำชายไม่ยักมีปุ่มพวกนี้

เขาจึงอดไม่ได้ที่จะละเมิดคำสัญญา
ลองกดปุ่มแรกที่เขียน ว่า “น.อ.”
ทันใด.. สิ่งน่าประ หลาดใจก็เกิดขึ้น เมื่อปรากฏมี
สายน้ำอุ่นพุ่งขึ้นฉีดล้างทำความสะอาดบั้นท้ายของเขา
อย่างนุ่มนวล แผ่วเบา และอุ่นสบาย
สมชายจึงรู้ว่า ที่แท้ “น.อ.” ย่อมา จากน้ำอุ่น!

ขณะนึกอิจฉาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องน้ำหญิง
เขาก็อดใจไม่ไหว ต้องลองกดปุ่มที่สองที่เขียนว่า
“พ.ล.” ทันใดนั้น..ก็มีสายลมพัดพุ่งตรงใส่บั้นท้ายเขา
เป่าให้แห้งอย่างนุ่มนวล แผ่วเบาและอุ่นสบายเช่นเคย
ทีนี้ สมชายจึงเข้าใจกระจ่างว่า “พ.ล.” แปลว่าพัดลม!

เมื่อสมชายเห็นความอัศจรรย์สุดยอดของบริการทันสมัย
ไปสองปุ่มแล้วเขาอดไม่ได้ที่ จะลองกดปุ่มสุดท้ายที่กำกับ
ด้วยอักษรย่อยาวที่สุดว่า “ด.ผ.อ.น.ม.”
พลางนึกว่าปุ่มนี้น่าจะเป็นทีเด็ดสุดยอด
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

กว่าสมชายจะรู้ตัวอีกที ก็ตอนได้สติที่โรงพยาบาล
ทันทีที่ลืมตาขึ้น เขารีบถามพยาบาลที่อยู่ตรงหน้าทันทีว่า…
“นี่มันที่ไหนกัน ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย เกิดอะไรขึ้น
ผมจำได้ว่าผมใช้บริการห้องน้ำหญิง แล้วผมมาอยู่นี่ได้ไง”

“ตอนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ
ที่คุณต้องมาอยู่นี่ก็เพราะคุณไปกดปุ่มสีแดงเข้าน่ะนะคะ”

เมื่อเห็นสมชายทำหน้างง พยาบาลสาวนางนั้นจึงเฉลยว่า
“ปุ่มสีแดงที่มีอักษรย่อว่า ‘ด.ผ.อ.น.ม.’
หมายถึง ‘ดึงผ้า อนามัย’ ไงคะ…

ฉันต้องแสดงความเสียใจด้วย
เพราะคุณหมอต่อให้คุณไม่สำเร็จค่ะ เครื่องมันดึงของคุณ
แล้วยัดลงท่อชักโครกไปแล้วล่ะ ทำใจนะคะ

อา..ฮากันเข้าไป...: อากิเน๊ะ & อาเจโปะ

อากิเน๊ะ & อาเจโปะ ฮา..ฮา...

กระเหรี่ยงหนุ่มคนนี้ หลังจากแต่งงานกับสาวชาวเขาเดียวกันได้ไม่นาน
เธอก็ตั้งท้องลูกคนแรก ประคองครรภ์อยู่บนยอดดอยจนใกล้คลอด
เธอก็รีบชวนเพื่อนสาวบ้านใกล้กันมาแอ๊ดมิทยังโรงพยาบาลพื้นราบ
เตรียมตัวและเตรียมพร้อม
เพื่อจะเป็นคุณแม่อย่างเต็มที่
เธอนอนครางโอดโอยอยู่จนคุณหมอบอกว่า ถึงเวลาแล้วท ี่จะต้องเข้าห้องคลอด
แต่ก่อนเข้าหมอก็แจ้งแก่เธอว่าต้องทำความสะอาดอวัยวะเพศก่อน
โดยการแว๊กซ์ หรือกำจัดขนบริเวณนั้นให้เหี้ยนเตียน
เมื่อเธอได้ยินเธอก็ให้ตกอกตกใจยิ่งนัก
แล้วก็ตั้งมั่นกับตัวเองว่ายังไงก็ไม่ให้หมอโกนแน่นอน
ขณะพยาบาลจับขึ้นขาหยั่ง เธอก็ส่ายหน้าแล้วเอามือปิดตรงนั้นไว้แน่น "
เราม่าโกเดะขาด " เธอพูดกับหมอเสียงแข็ง
" ไม่โกนไม่ได้นะคะ เพราะว่าบริเวณนั้นมันสกปรก แล้วอาจจะทำให้ลูกติดเชื้อ "
หมออธิบาย " ม่าโก ยางายเราก็ม่าโก "
คุณหมออธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเธอก็ยังไม่ยอม แต่แล้วจู่ๆ
เธอก็หาทางออกให้คุณหมอได้ ด้วยวิธีที่เธอคิดว่า
น่าจะเป็นการพบ! กันครึ่งทาง " แหวะ ๆ อากิเน๊ะ....แหวะ ๆ อากิเน๊ะ "
เธอพูดประโยคนี้กับหมอ แต่หมอฟังยังไงก็ไม่เข้าใจ
เพื่อนสาวของเธอที่มาด้วยก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะพูดไม่ชัดเหมือนกัน

ในที่สุด หมอก็บอกกับเพื่อนสาวของ
เธอว่าให้ไปตามสามีของหญิงคนนี้มาให้หน่อยเพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง
เพื่อนสาวของเธอรีบขึ้นดอยไปตามสามีเธอมา
เมื่อมาถึงคุณหมอก็บอกกับสามีเธอว่า
" นี่ช่วยอธิบายให้เมียเธอเข้าใจหน่อยว่ายังไงก็ต้องโกนเพราะถ้าไม่โกนเด็กอาจจะเป็นอันตราย"
สามีรีบหันไปพูดกับภรรยาเหมือนที่หมอบอก แต่คำตอบก็ได้กลับมา อย่างเดิม คือ "
แหวะ ๆ อากิเน๊ะ"
" ไหนบอกหมอซิว่าเมียเธอพูดว่ายังไง " หมอถาม
" เมียผมบอกว่าให้หมอแหวก ๆ แล้วเอากิ๊บเหน็บครับ "
หมอได้ยินก็สะดุ้งโหยง และบอกกลับไปว่า " เธอจะบ้าเหรอ!
ใครมาคลอดลูกก็ต้องโกนกันทั้งนั้น แล้วกิ๊บ ที่ไหนมันจะเก็บได้ทุกเส้นล่ะ "
สามีหันไปพูดกับภรรยา และก็ได้คำตอบกลับมาว่า " หวิ ๆ อาเจโปะ....หวิ ๆอาเจโปะ "
" อ่ะ...ไหนว่ามาซิ เมียเธอบอกว่ายังไง " หมอถาม
สามีอ้ำอึ้งไปชั่วครู่ แล้วก็บรรจง! แปลให้หมอฟังว่า

" เมียผมบอกว่า ถ้าหมอกลัวว่าจะเก็บไม่ได้ทุกเส้น ก็ให้หมอหวีๆ
แล้วก็เอาเจลโปะครับ "

ไร้กรอบ

***เคยได้ยินชื่อ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ ไหมครับ??
เขาเคยเป็นวิศวกรขององค์การอวกาศนาซา
ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ 20 กว่าปีก่อน
เคยได้รับรางวัลงานวิจัยที่ดีที่สุดระดับโลก
เกี่ยวกับเครื่องยนต์ไอพ่น

ตัดสินใจกลับเมืองไทยเพราะ
1.อยากดูแลพ่อแม่
2.ไม่อยากเป็นพลเมืองชั้นสองในบ้านพักคนชรา
3.อยากเที่ยว และ
4.ชอบกินอาหารอร่อย

เคยเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก่อนจะออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาของตัวเอง
ผมประทับใจบทสัม ภาษณ์ของ ดร.วรภัทรใน 'เสาร์สวัสดี'
ของ 'กรุงเทพธุรกิจ ' มาก

คนอะไรก็ไม่รู้ ชีวิตมันส์เป็นบ้า
ความคิดก็กวนเหลือหลาย
ตอนที่เขาเป็นอาจารย์
วิธีการสอนหนังสือของเขาแปลกกว่าคนอื่น

'ผมออกนอกกรอบตลอดเวลา'
เขาบอก

เขาเคยพาเด็กวิศวะไปที่ริมสระว่ายน้ำ
เรียนไปและดูนิสิตสาว ๆ ว่ายน้ำไป
ด้วยคาดว่าคงไปเรียนเรื่อง 'คลื่น'
ระหว่างท่าฟรีสไตล์ กับท่าผีเสื้อ
คลื่นที่เกิ ดขึ้นของท่าไหนถี่กว่ากัน
ระหว่างชุดทูพีซกับวันพีซ
แรงเสียดทานกับน้ำ ชุดไหนมากกว่ากัน
แนวการศึกษาน่าจะออกไปทำนองนี้
แต่ที่ชอบที่สุดคือตอนที่เขาออกข้อสอบ
ข้อสอบของเขาสั้นและกระชับมาก

'จงออกข้อสอบเอง พร้อมเฉลย'
โหย....เด็กวิดวะอึ้งกันทั้งห้อง
คำตอบส่วนใหญ่เป็นการตั้งโจทย์แบบง่ายๆ
เช่น ปั้นจั่นมีกี่ชนิด

ผลปรากฎว่าได้ศูนย์กันทั้งห้อง

เพราะเป็นคำตอบที่ไม่ได้แสดงความคิดที่ลึกซึ้ง สมกับที่เรียนมาทั้งเทอม
เหตุผลที่ดร.วรภัทรออกข้อสอบ ด้วยการให้นิสิตออกข้อสอบเอง เป็นเหตุผลที่ตรงกับใจผมมาก

'ชีวิตคนเราจะรอให้อาจารย์ตั้งโจทย์อย่างเดียวไม่ได้
ต้องหาโจทย์มาเอง คิดแล้วทำ
ถ้าผิดแล้วอาจารย์จะปรับให้'

เขามองว่าเด็กรุ่นใหม่ติดนิสัยเด็กกวดวิชา
รอคนคาบทุกอย่างมาป้อนให้ไม่รู้จักคิดเอง

'ถ้ารอและตั้งรับ
คุณก็เป็นพวกอีแร้ง
แต่พวกคุณแย่กว่า
เพราะเป็นแค่ลูกอีแร้ง
คือ รออาหารที่คนอื่นป้อนให้'

โหย....เจ็บ ผมเชื่อมานานแล้วว่า

ชีวิตของคนเรา
เป็นข้อสอบอัตนัย
ที่ต้องตั้งโจทย์เอง และตอบเอง
ไม่ใช่ข้อสอบปรนัย

ที่มีคนตั้งโจทย์ และมีคำตอบเป็นทางเลือก ก-ข-ค-ง
ถ้าใครที่คุ้นกับ 'ชีวิตปรนัย' ที่มีคนตั้งโจทย์ให้และเสนอทางเลือก
1-2-3-4 คนคนนั้นชีวิตจะไม่ก้าวหน้า เพราะต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลาติดกับ

'กรอบ'

ที่คนอื่นสร้างให้
ไม่เหมือนกับคนที่รู้จักคิด และตั้งคำถามเอง
เรื่องการตั้งคำถามกับชีวิต เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าลืมว่า

เพราะมี 'คำถาม' จึงมี 'คำตอบ'

เมื่อมี 'คำตอบ' เราจึงเลือกเดิน
พูดถึงเรื่องการตั้งคำถาม ผมนึกถึง 'โสเครติส' เขาเป็นนักปรัชญาเอกของโลก
ที่สอนลูกศิษย์ด้วยการสนทนา ตั้งคำถามให้ลูกศิษย์ตอบ
สร้างองค์ความรู้จาก 'คำถาม' กลยุทธ์ของ 'โสเครติส' ในการสอน คือ
ไม่ให้ความเห็นใดๆ แก่นักเรียน และทำลายความมั่นใจของ นักเรียนที่เชื่อว่าตนเองรู้

'โสเครติส' เชื่อว่าเมื่อเด็กตระหนักใน
'ความไม่รู้' ของตนเอง
เขาจะเริ่มต้นแสวงหา 'ความรู้'

แต่ถ้าเด็กยังเชื่อมั่นว่าตนเองมี 'ความรู้' เขาก็จะไม่แสวงหา 'ความรู้ '
การตั้งคำถามของโสเครติสจึงมีเป้าหมาย
โจมตีและทำลายความเชื่อมั่นในภูมิความรู้ของนักเรียน
เป็นกลยุทธ์เท 'น้ำ' ให้หมดจากแก้ว
เมื่อแก้วไม่มีน้ำแล้ว จึงเริ่มให้เขาเท 'น้ำ' ใหม่ ใส่แก้วด้วยมือของเขาเอง
'น้ำ' ที่ลูกศิษย์แต่ละคนเทลงแก้วด้วยมือตัวเองมาจาก
'คำตอบ' ที่เขาค้นคิดขึ้นมาเอง
'คำตอบ' จาก 'คำถาม' ของ 'โสเครติส'
'โสเครติส' นิยามศัพท์คำว่า 'คนฉลาด' และ 'คนโง่' ได้อย่างน่าสนใจ
'คนฉลาด' ในมุมมองของ
'โสเครติส' นั้นไม่ใช่คนที่รู้ทุกเรื่องแต่

'คนฉลาด' คือคนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้
ส่วน
'คนโง่' นั้น คือคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้
แต่ทำตัวราวกับเป็นผู้รู้

***ไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้
ผมยังมีความภาคภูมิใจใน 'ความรู้'
ของตนเอง แต่พออ่านถึงบรรทัดนี้
ทำไมผมเริ่มรู้สึกว่า
ตัวเองไม่รู้อะไรเลย***
ลองหาความรู้ใหม่ ๆ ให้กับตัวคุณเอง

แฟนเอ็งยังบริสุทธิ์

แฟนเอ็งยังบริสุทธิ์
เรื่องมีอยู่ว่า
ต้นพาแฟนมานอนที่บ้าน
ด้วยความที่ไม่ประสาในเรื่องนี้จึงโทรปรึกษากับพี่แม็ก ผู้ช่ำชอง
ต้น: ฮัลโหล พี่แม็ก ผมพาแฟนมานอนที่บ้าน แต่ผมทำไม่เป็นน่ะ
ผมไม่รู้ว่าต้องเริ่มยังไง
พี่แม็ก: เอ็งนี้ไร้เดียงสาจิงๆให้ตาย เอาง่ายๆแกนอนข้างบน
แล้วให้แฟนนอนข้างล่าง แค่นี้ก็เรียบร้อย

จากนั้นต้นก็นอนบนเตียงแล้วปูเสื่อให้แฟนมันนอนที่พื้นข้างเตียง
เวลาผ่านไปนานไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงออกจากห้องมาเข้าห้องน้ำ
แฟนต้นปิดประตูล็อกห้องด้วยความเซ็ง เจ้าต้นจึงเข้าห้องไม่ได้
จึงโทรปรึกษาพี่แม็กอีก
ต้น: ฮัลโหลพี่แม็ก ผมเข้าไม่ได้อ่ะพี่ทำไงดี
พี่แม็ก: เอ็ง ค่อยๆเอาหัวดันเข้าไปซิ ไอ้เซ่อ
เจ้าต้นก็เอาหัวดันประตูอยู่นาน แต่ก็เข้าไม่ได้
ต้น: ฮัลโหลพี่แม็ก พยายามดันแล้ว เข้าไม่ได้อยู่ดีอ่ะพี่
พี่แม็ก: ถ้างั้นเอ็งค่อยๆกระแทก กระแทกเข้าไป

ต้นเอาหัวกระแทกประตูโป๊กๆ .......................... หัวแตก!


ต้น: ฮัลโหลพี่แม็ก เลือดออกแล้ว
พี่แม็ก: เฮ้ย!!!!!ต้น ต้น ....... พี่ดีใจด้วยโว๊ย .............
แฟนเอ็งยังบริสุทธิเว้ย

วิชาเพศศึกษา 18+‏ ( ขำๆ )

ครูสมศรีเป็นครูฝึกสอนและได้รับหน้าที่สอนวิชาเพศศึกษาแก่เด็กนักเรียนเล็กๆ

ซึ่งทำให้ครูสมศรีหนักใจเกี่ยวกับการสอนวิชานี้มาก

ในคาบแรกที่สอนครูสมศรีจึงวาดรูปหน้าอกผู้หญิง แล้วถามนักเรียนว่า

" ใครรู้บ้างว่านี่คืออะไร " เด็กหญิงจอยรีบยกมือและตอบด้วยความมั่นใจว่า

" นมค่ะ และ แม่หนูมีสองอัน " ครูสมศรีจึงบอกว่า " ถูกต้อง เก่งมากจ้ะ "

หลังจากนั้นเธอจึงทำการวาดจู๋ของผู้ชายแล้วเอ่ยขึ้นว่า " ใครตอบได้บ้าง ว่านี่คืออะไร "

เด็กชายบอยยกมือขึ้น แล้วตอบด้วยความมั่นใจว่า " เรียกว่าจู๋ ครับ และพ่อผมก็มีสองอัน "

ครูสมศรีงงและบอกว่า " ฮ้า ! มันจะเป็นไปได้ยังไง มีสองอัน "

เด็กชายบอยจึงตอบว่า " จริงซีครับ ก็อันเล็ก พ่อผมเอาไว้ฉี่ ส่วนอันใหญ่ พ่อผมเอาไว้แปรงฟันให้แม่ครับ "

พี่เขยกับน้องเมีย ......(เรื่องจากชีวิตจริง อุทาหรณ์สอนหญิง)‏

พี่เขยกับน้องเมีย ......(เรื่องจากชีวิตจริง อุทาหรณ์สอนหญิง)

ดิฉันแต่งงานเมื่อ พ.ศ. 2534
และได้อยู่กินกับสามีด้วยดีจนมีลูกสาวและลูกชายอย่าง ละคน
ชีวิตก็มีความสุขดี มีรถยนต์ มีบ้านในเนื้อที่ 24ตารางวาบนถนนแจ้งวัฒนะ
ดิฉันมีน้องสาว 1คนเค้าไปได้สามีที่มีเมียหลวงอยู่แล้ว
ตอนหลังเค้าเลิกกัน เขามาหาดิฉันดิฉันก็ให้น้องสาวมาอยู่ด้วยกัน
แต่ว่ามาคนเดียวนะคะส่วนลูกๆอยู่กับสามีเขา
น้องสาวมาอยู่กับดิฉันได้หลายปีจนมาวันหนึ่งหัวใจดิฉ ันเกือบสลาย
คือ เรื่องของเรื่อง...สามีดิฉันจะเลิกงานเวลา 24.00 น.และในเวลา 00.45 น.
ดิฉันได้ยินเสียงรถของสามีมาถึงบ้านแล้ว แต่ดิฉันง่วงมาก ลุกไม่ไหว
ก็หลับต่อ ...ต่อมาก็ตกใจตื่น ตอน ตี 2 กว่าๆ นิดหน่อย ไม่เห็นสามีนอนอยู่
ลุกขึ้นไปดูที่ห้องลูกๆก็ไม่มี ในห้องน้ำก็ไม่มี
ใจหายวาบ ....รีบลงมาที่โซฟาข้างล่าง..ก็ไม่มี
รถยนต์ก็จอดอยู่แต่สามีดิฉันไปไหน
มองที่ประตูบ้านก็ใส่กลอนอยู่
ดิฉันหัวใจเต้นแรงมาก .....
เหลืออยู่ห้องเดียวคือ.....ห้องน้องสาว..ของดิฉัน
ดิฉันเดินไปเปิดไฟจนสว่างทั่วบ้าน
หัวใจเต้นแรงผิดปกติ....อยากจะเป็นลม
แล้วมองไปที่ห้องของน้องสาวแล้วพยายามตั้งสติ..คิดใน ใจว่า
ถ้า...เขาเดินออกมาจากห้องนั้นดิฉันจะทำอย่างไร ?
ดิฉันนั่งมองประตูห้องของน้องสาว...น้ำตาก็ไหล
นึกในใจ ว่า... จะทำอย่างไร ?
เราจะทำอย่างไรดี ....
ลูกก็ยังเล็ก ดิฉันตัดสินใจ ? เลิก?
ยังไงก็ต้องเลิก ....!!
แล้วให้เขาไปอยู่กับน้องสาวที่อื่น..ส่วนดิฉันจะอยู่ กับลูกๆ
คือจะยกสามีให้น้องสาวไป... ถ้าเขารักกัน
รอจนประมาณ ตี 3 กว่าๆ
ดิฉันนึกในใจว่าถ้าดิฉันโทรฯเข้ามือถือเขาแล้วเสียงโ ทรศัพท์ก็ต้องดังออกมาจากห้องน้องสาวแน่ๆเ ลย
เป็นไง...เป็นกัน ดิฉันตัดสินใจโทรฯแล้วก็ติดจริงๆค่ะ
ใจดิฉันเต้นแรง...จนเกือบหลุดออกมาข้างนอก
ดิฉันยืนอยู่หน้าห้องน้องสาว....แต่เอ๊ะไม่มีเสียงโท รศัพท์ดังออกมาจากในห้องของน้องสาวเลย แต่โทรฯ ติด แล้วเขาอยู่ไหน ??
ฮัลโหล ? เธออยู่ไหน ? ดิฉันตวาด
.
.
.
.
.
ก็นอนอยู่ในรถสิ ว ะ..... อีบ้า
รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้กู จะกลับดึก...ยังเสือกล็อคประตู อีก ยุงก็กัด.... ชิบหาย