คนไทยเราเมื่อสมัยก่อนมีการเรียนรู้การใช้สมุนไพรรักษาโรคต่าง ๆ ในหมู่บ้านกันสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน เพราะในอดีต ประเทศไทยมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์มากและและสมุนไพรก็มีมากในอดีต จึงถือว่าเป้นภูมิปัญญาที่บรรพบุรุษสั่งสมเอาไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาความรู้และนำไปใช้ประโยชน์
กล้วยน้ำว้า กล้วยน้ำว้าใช้ทำยาได้ทั้งดิบ และสุก มีประโยชน์มากมายมหาศาล อย่างเช่น กล้วยดิบมีสารฝาดสมาน (Astringent) จึงช่วยในการสมานรักษาอาการท้องเสียที่ไม่รุนแรงได้ เป็นการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันผนังกระเพาะลำไส้ไม่ให้เชื้อโรคและอาหารที่มีรสเผ็ดจัด เช่น พริก เข้าไปทำลายผนังกระเพาะ ลำไส้ โดยกินครั้งละครึ่งผลหรือ 1 ผล อาการท้องเสียจะทุเลาลง และยังช่วยรักษาโรคกระเพาะได้อีกด้วย
กระชาย ตามตำราถือว่ากระชายเป็นยาอายุวัฒนะชั้นหนึ่ง เป็นยาเจริญอาหารและบำรุงธาตุทำให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ผิวพรรณผุดผ่อง สดใส ชะลอความแก่ แก้ใจสั่น แก้วิงเวียน แน่นหน้าอก แก้แผลในปาก แก้ฝีอักเสบ แก้กลากเกลื้อน
กระเทียม กระเทียมเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณ คือ ช่วยลดปริมาณของคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด แก้อาการท้องอืด และแน่นจุกเสียด โดยให้รับประทานกระเทียมดิบๆ ครั้งละประมาณ 5-7 กลีบหลังอาหาร
ขมิ้นชัน ขมิ้นชันนอกจากจะเป็นสมุนไพรที่นิยมนำมาใช้เป็นเครื่องเทศกันมานานแล้ว ยังมีสรรพคุณเป็นยาได้ อีกด้วย เช่น เป็นยาลดกรด แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ขับลม อาหารไม่ย่อย แก้โรคกระเพาะ แก้ปวดท้อง แก้อาการเกร็งกล้ามเนื้อ ทำให้การบีบตัวของลำไส้ลดลง
ขิง ขิงเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ ประโยชน์ของขิงคือช่วยย่อยอาหาร ลดความดัน ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ลดระดับไขมันคอ เลสเตอรอล โดยการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหารในลำไส้ แล้วปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ ช่วยลดอาการอยากเสพยาของคนติดยาเสพติดได้ บรรเทาปวด ลดไข้ ลดอาการเวียนศีระษะ
ตำลึง ตำลึงเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางอาหารสูง ตำลึงถือเป็นยาเย็น ใบช่วยขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน เจ็บตา ตาแดงและตาแฉะ แก้โรคผิวหนัง และลดน้ำตาลในเลือด
ตะไคร้ ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อน เฝื่อน และขมเล็กน้อย นิยมนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงในการประกอบอาหารทุกส่วนของตะไคร้ สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ และแก้อหิวาตกโรค
กระดุมทอง เป็นไม้ล้มลุกที่พบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน หรือตามบ้านเรือนที่ปลูกอาศัยอยู่ เป็นพืชที่ขึ้นได้ง่าย ใบจะสากมีสีเขียวเข้ม ดอกเมื่อบานเต็มที่จะมีสีเหลือง ตามแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่ได้ให้การยอมรับต้นกระดุมทองนี้มากนัก แต่ทางแพทย์แผนโบราณและแพทย์แผนจีนนั้น ถือได้ว่าต้นกระดุมทองนี้มีสรรพคุณทางยาที่สามารถช่วยรักษาโรคเบาหวาน โรคหัวใจและความดันได้เป็นอย่างดี
มะระขี้นก มะระขี้นกเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของไทยอีกชนิดหนึ่งที่มีรสขม มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด แก้ไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ
บัวบก บัวบกเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณหลากหลายทั้งแก้อาการช้ำใน ลดความดันโลหิต
วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ภาวะสมองเสื่อม
ภาวะสมองเสื่อม หรือ โรคสมองเสื่อม (อังกฤษ: Dementia, มาจากภาษาละติน de- "ออกไป" และ mens มาจาก mentis "จิตใจ") เป็นภาวะการเสื่อมถอยของหน้าที่การรับรู้อันเนื่องมาจากความเสียหายหรือโรคที่เกิดในสมองซึ่งมักเกิดจากการเสื่อมถอยไปตามอายุ แม้ว่าภาวะสมองเสื่อมจะเกิดขึ้นโดยปกติในประชากรผู้สูงอายุ แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ใหญ่ในทุกระยะ สำหรับกลุ่มอาการที่คล้ายคลึงกันอันเนื่องมาจากหน้าที่ของสมองผิดปกติในประชากรที่อายุน้อยกว่าวัยผู้ใหญ่จะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ความผิดปกติในพัฒนาการ (developmental disorders)
ภาวะสมองเสื่อมเป็นกลุ่มอาการที่ไม่จำเพาะซึ่งเกิดจากความเสื่อมของการรับรู้ไม่ว่าจะเป็นความจำ, ความใส่ใจ, ภาษา, และการแก้ปัญหา ซึ่งหน้าที่การรับรู้ในระดับสูงจะได้รับผลกระทบก่อน ในระยะท้ายๆ ของภาวะสมองเสื่อมผู้ป่วยจะมีอาการไม่รับรู้เวลา (ไม่รู้ว่าเป็นวัน เดือน หรือปีอะไร) สถานที่ (ไม่รู้ว่ากำลังอยู่ที่ไหน) และบุคคล (ไม่รู้จักบุคคลว่าเป็นใคร)
กลุ่มอาการของภาวะสมองเสื่อมนั้นจัดแบ่งออกได้เป็นประเภทย้อนกลับได้ และย้อนกลับไม่ได้ ซึ่งขึ้นกับสมุฏฐานโรค (etiology) ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมน้อยกว่าร้อยละ 10 ซึ่งสามารถกลับมาเป็นปกติหลังจากการรักษาได้ สาเหตุของโรคเกิดจากการดำเนินโรคที่จำเพาะที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับการทำหน้าที่ผิดปรกติของอวัยวะอื่นๆ เช่น อาการหายใจสั้น, ดีซ่าน, หรืออาการปวดซึ่งเกิดมาจากสมุฏฐานต่างๆ กัน หากแพทย์เก็บประวัติผู้ป่วยได้ไม่ดีอาจทำให้สับสนกับกลุ่มอาการเพ้อ (delirium) เนื่องจากมีอาการแสดงที่คล้ายคลึงกันมาก อาการป่วยทางจิต (mental illness) บางชนิด เช่น ภาวะซึมเศร้า (depression) และโรคจิต (psychosis) อาจทำให้เกิดอาการแสดงซึ่งต้องแยกออกจากภาวะสมองเสื่อมและอาการเพ้อ[1]
ภาวะสมองเสื่อมเป็นกลุ่มอาการที่ไม่จำเพาะซึ่งเกิดจากความเสื่อมของการรับรู้ไม่ว่าจะเป็นความจำ, ความใส่ใจ, ภาษา, และการแก้ปัญหา ซึ่งหน้าที่การรับรู้ในระดับสูงจะได้รับผลกระทบก่อน ในระยะท้ายๆ ของภาวะสมองเสื่อมผู้ป่วยจะมีอาการไม่รับรู้เวลา (ไม่รู้ว่าเป็นวัน เดือน หรือปีอะไร) สถานที่ (ไม่รู้ว่ากำลังอยู่ที่ไหน) และบุคคล (ไม่รู้จักบุคคลว่าเป็นใคร)
กลุ่มอาการของภาวะสมองเสื่อมนั้นจัดแบ่งออกได้เป็นประเภทย้อนกลับได้ และย้อนกลับไม่ได้ ซึ่งขึ้นกับสมุฏฐานโรค (etiology) ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมน้อยกว่าร้อยละ 10 ซึ่งสามารถกลับมาเป็นปกติหลังจากการรักษาได้ สาเหตุของโรคเกิดจากการดำเนินโรคที่จำเพาะที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับการทำหน้าที่ผิดปรกติของอวัยวะอื่นๆ เช่น อาการหายใจสั้น, ดีซ่าน, หรืออาการปวดซึ่งเกิดมาจากสมุฏฐานต่างๆ กัน หากแพทย์เก็บประวัติผู้ป่วยได้ไม่ดีอาจทำให้สับสนกับกลุ่มอาการเพ้อ (delirium) เนื่องจากมีอาการแสดงที่คล้ายคลึงกันมาก อาการป่วยทางจิต (mental illness) บางชนิด เช่น ภาวะซึมเศร้า (depression) และโรคจิต (psychosis) อาจทำให้เกิดอาการแสดงซึ่งต้องแยกออกจากภาวะสมองเสื่อมและอาการเพ้อ[1]
วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552
รัฐประหารในประเทศไทย
คณะรัฐประหารในประเทศไทยที่ก่อการสำเร็จมักจะเรียกตนเองหลังก่อการว่า "คณะปฏิรูป" หรือ "คณะปฏิวัติ" เพื่อให้มีความหมายไปในเชิงบวก อย่างไรก็ตามมีผู้เสนอว่าการ "ปฏิวัติ" หรือ "อภิวัฒน์" (ฝรั่งเศส: revolution) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองนั้นเกิดขึ้นในประเทศไทยเพียงครั้งเดียวคือเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
ผู้ที่ก่อการรัฐประหารได้สำเร็จในประเทศไทยมาจากฝ่ายทหารบกทั้งสิ้น ส่วนทหารเรือได้มีความพยายามในการก่อรัฐประหารแล้วแต่ไม่สำเร็จเป็นกรณีกบฏวังหลวง ใน พ.ศ. 2492 และ กบฎแมนฮัตตันใน พ.ศ. 2494 หลังจากนั้นทหารเรือก็เสียอำนาจในแวดวงการเมืองไทยไป
1. รัฐประหาร 1 เมษายน พ.ศ. 2476 พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร พร้อมงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา
2. รัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 นำโดยพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ยึดอำนาจ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี
3. รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี
4. รัฐประหาร 6 เมษายน พ.ศ. 2491 คณะนายทหารกลุ่มที่ทำการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 จี้บังคับให้ นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมอบตำแหน่งต่อให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
5. รัฐประหาร 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 นำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
6. รัฐประหาร 16 กันยายน พ.ศ. 2500 นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี
7. รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี (ตามที่ตกลงกันไว้)
8. รัฐประหาร 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 นำโดย จอมพลถนอม กิตติขจร ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
9. รัฐประหาร 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี
10. รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล นายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรี
11. รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี
12. รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ: บางตำราถือการปิดสภา งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 เป็นรัฐประหารครั้งแรก และไม่แยกเหตุการณ์เมื่อ พ.ศ. 2491 เป็นรัฐประหารอีกครั้ง
ผู้ที่ก่อการรัฐประหารได้สำเร็จในประเทศไทยมาจากฝ่ายทหารบกทั้งสิ้น ส่วนทหารเรือได้มีความพยายามในการก่อรัฐประหารแล้วแต่ไม่สำเร็จเป็นกรณีกบฏวังหลวง ใน พ.ศ. 2492 และ กบฎแมนฮัตตันใน พ.ศ. 2494 หลังจากนั้นทหารเรือก็เสียอำนาจในแวดวงการเมืองไทยไป
1. รัฐประหาร 1 เมษายน พ.ศ. 2476 พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร พร้อมงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา
2. รัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 นำโดยพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ยึดอำนาจ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี
3. รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี
4. รัฐประหาร 6 เมษายน พ.ศ. 2491 คณะนายทหารกลุ่มที่ทำการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 จี้บังคับให้ นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมอบตำแหน่งต่อให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
5. รัฐประหาร 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 นำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
6. รัฐประหาร 16 กันยายน พ.ศ. 2500 นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี
7. รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี (ตามที่ตกลงกันไว้)
8. รัฐประหาร 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 นำโดย จอมพลถนอม กิตติขจร ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
9. รัฐประหาร 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี
10. รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล นายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรี
11. รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี
12. รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ: บางตำราถือการปิดสภา งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 เป็นรัฐประหารครั้งแรก และไม่แยกเหตุการณ์เมื่อ พ.ศ. 2491 เป็นรัฐประหารอีกครั้ง
วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552
เหตุการณ์ 14 ตุลา
สวัสดีครับวันนี้ผู้เขียนยิมยกเอาประวัติ 14 ตุลา มาให้คิด ในวันรัฐธรรมนูญ ของประเทศไทยของเรานะครับ ร่วมละลึกถึงพลังประชาชนที่ขับเคลือนให้ประชาธิปไตย และร่วมละลึกถึงคนที่พลีชีพเพื่อประชาธิปไตยของประเทศเรานะครับ เพื่อความปึกแผ่นของประเทศนะครับ
6 ตุลาคม มีบุคคลร่วมลงชื่อ 100 คน เพื่อเรียกร้องขอรัฐธรรมนูญ ซึ่งประกอบด้วยบุคคลหลากหลายอาชีพ หลายวงการ เช่น นักวิชาการ นักการเมือง นักคิด นักเขียน นิสิต นักศึกษา เป็นต้น จากนั้น นักศึกษา 13 คน นำโดย นายธีรยุทธ บุญมี ได้เดินแจกใบปลิวเรียกร้องรัฐธรรมนูญตามสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพ ฯ โดยอ้างถึงใจความในพระราชหัตถ์เลขาของรัชกาลที่ 7 ที่ส่งถึงรัฐบาลถึงสาเหตุที่ทรงสละราชสมบัติ แต่ทางตำรวจนครบาลจับได้เพียง 11 คน และจับขังนักศึกษาทั้ง 11 คนนี้ไว้ที่โรงเรียนตำรวจนครบาลบางเขนและนำไปขังต่อที่เรือนจำกลางบางเขน พร้อมตั้งข้อหาร้ายแรงว่า เป็นการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ โดยห้ามเยี่ยม ห้ามประกันเด็ดขาด ซึ่งบุคคลทั้ง 13 นี้ ได้ถูกเรียกขานว่าเป็น 13 ขบถรัฐธรรมนูญ จากนั้นจึงได้มีการประกาศจับ นายก้องเกียรติ คงคา นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และตามจับ นายไขแสง สุกใส อดีต ส.ส.จ.นครพนม ขึ้นอีก รวมทั้งหมดเป็น 13 คน โดยกล่าวหาว่า นายไขแสงเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการแจกใบปลิวครั้งนี้ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้สร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นครั้งใหญ่แก่มวลนักศึกษา และประชาชนอย่างมาก จนนำไปสู่การชุมนุมใหญ่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นช่วงของการสอบกลางภาคด้วย แต่ทางองค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) ได้ประกาศและติดป้ายขนาดใหญ่ไว้ว่า งดสอบ พร้อมทั้งยื่นคำขาดให้ทางรัฐบาลปล่อยตัวทั้งหมดนี้ก่อนเที่ยงวันที่ 13 ตุลาคม แต่เมื่อถึงเวลาแล้วรัฐบาลก็หาได้ยอมกระทำไม่
การเดินขบวนครั้งใหญ่จึงเริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ออกไปตามถนนราชดำเนิน สู่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยมีแกนนำเป็นนักศึกษาและมีประชาชนเข้าร่วมด้วยจำนวนมาก (คาดการกันว่ามีราว 500,000 คน) แกนนำนักศึกษาได้เข้าพบเจรจากับรัฐบาลและบางส่วนได้เข้าเฝ้า ฯ จนได้ข้อยุติเพียงพอที่จะสลายตัว แต่ทว่าด้วยอุปสรรคทางการสื่อสารและมวลชนที่มีอยู่เป็นจำนวนมากไม่อาจควบคุม ดูแลได้หมด ก็นำไปสู่การนองเลือดในเช้าตรู่วันที่ 14 ตุลาคม เมื่อเกิดการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนที่บริเวณหน้าพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมจะสลายตัวกลับทางนั้น แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ผ่าน จึงเกิดการปะทะกันกลายเป็นการจลาจล ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และถนนราชดำเนิน พบเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินวนอยู่เหนือเหตุการณ์และมีการยิงปืนลงมาจาก เฮลิคอปเตอร์ลำนั้นเพื่อสลายการชุมนุม โดยผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ยืนยันว่าบุคคลที่ยิงปืนลงมานั้นคือ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร
หลังจากนั้น วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยประกาศว่า จอมพลถนอม ได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว และมีพระบรมราชโองการโปรดแต่งตั้ง นายสัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงมีพระราชดำรัสแถลงออกโทรทัศน์ด้วยพระองค์เอง แต่ทว่าเหตุการณ์ยังไม่สงบโดยกลุ่มทหารได้เปิดฉากยิงเข้าใส่นักศึกษาและ ประชาชนอีกครั้งหลังจากพระราชดำรัสทางโทรทัศน์เพียงหนึ่งชั่วโมงเมื่อนักศึกษาพยายามพุ่งรถบัสที่ไม่มีคนขับเข้าใส่สถานีตำรวจ ที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยเนื่องจากผู้ชุมนุมนับพันยังไม่วางใจในสถานการณ์ ได้มีการประกาศท้าทายกฎอัยการศึกใน เวลา 22.00 น. และ ประกาศว่าจะอยู่ที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยทั้งคืนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ถูก หลอกอีกครั้ง ซึ่งในตอนหัวค่ำวันที่ 15 ได้มีประกาศว่า จอมพลถนอม จอมพลประภาส และ พ.อ.ณรงค์ ได้เดินทางออกนอกประเทศแล้ว เหตุการณ์จึงค่อยสงบลง และวันที่ 16 ตุลาคม ผู้ชุมนุมและประชาชนต่างพากันช่วยทำความสะอาดพื้นถนนและสถานที่ต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหาย
วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552
เนื้อเรื่องย่อสามก๊ก
วันนี้ผู้เขียนเรื่องสามก๊กมา คุยนะครับมันเป็นฉบับย่อๆ ของ เว็บไซด์วิกิพีเดียนะครับ ก็ใครสันใจฉบับเต็มนะครับก็โหลดมาอ่านได้ มีหลายฉบับนะ มีทั้งของ ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) และก็ฉบับสามก๊กคนขายชาตินะครับและมีอีกหลายฉบับนะครับ เป็นเรื่องที่สนุกมาก ถ้าตั้งใจอ่านก็นำมาปรับปรุงเป็นกลยุทธในการทำธุรกิจได้นะครับ
ภายหลังจากที่พระเจ้าฮั่นโกโจ ได้สถาปนาราชวงศ์ฮั่นจนมีการสืบทอดราชวงศ์มามากกว่าสี่ร้อยปี ในยุคสมัยของพระเจ้าเลนเต้เกิดการขัดแย้งกันเองภายในราชวงศ์ฮั่นจนถึงการแย่งชิงอำนาจและราชสมบัติ พระเจ้าเลนเต้ไม่ทรงตั้งตนในทศพิธราชธรรม ขาดความเฉลียวฉลาด เชื่อแต่คำของเหล่าสิบขันที เหล่าขุนนางถืออำนาจขูดรีดราษฏรจนได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว โจรผู้ร้ายชุกชุมปล้นสะดมไปทั่วแผ่นดิน ดังจดหมายเหตุของจีนตอนหนึ่งได้บันทึกไว้ว่า "ขุนนางถือราษฏรดั่งหนึ่งอริราชศัตรู ขูดรีดภาษีอากรโหดร้ายยิ่งกว่าเสือ"[14] เกิดกบฎชาวนานำโดยเตียวก๊ก หัวหน้ากลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองออกปล้นชิงเมืองต่าง ๆ จนเกิดความวุ่นวายแตกแยกแผ่นดินเป็นก๊กเป็นเหล่าจำนวนมาก
ภายหลังพระเจ้าเลนเต้สวรรคต เกิดการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระราชโอรสทั้งสองพระองค์แต่ต่างพระชนนี พระเจ้าหองจูเปียนได้สืบทอดราชสมบัติโดยมีพระนางโฮเฮาผู้เป็นมารดาเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่ในราชสำนักคงเกิดความวุ่นวายจากเหล่าขันทีทั้งสิบ โฮจิ๋นผู้เป็นพระเชษฐาของพระนางโฮเฮาจึงวางอุบายให้ตั๋งโต๊ะมา ช่วยกำจัดเหล่าขันที แต่โฮจิ๋นกลับถูกลวงไปฆ่าทำให้เหล่าทหารของโฮจิ๋นยกกำลังเข้าวังหลวงเพื่อ แก้แค้นจนเกิดจลาจลขึ้น ภายหลังตั๋งโต๊ะยกทัพมาถึงวังหลวงและฉวยโอกาสในขณะที่เกิดความวุ่นวายยึด อำนาจมาเป็นของตน สั่งถอดพระเจ้าหองจูเปียนและปลงพระชนม์ และสถาปนาพระเจ้าหองจูเหียบขึ้นแทน ทรงพระนามว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ และสถาปนาตนเองเป็นพระมหาอุปราช มีฐานะเป็นบิดาบุญธรรมของพระเจ้าเหี้ยนเต้
ตั๋งโต๊ะถืออำนาจเป็นใหญ่ในราชสำนัก สั่งประหารผู้ที่ไม่เห็นด้วยกันตนเองจนเหล่าขุนนางพากันโกรธแค้น โจโฉพยายาม ลอบฆ่าตั๋งโต๊ะแต่ไม่สำเร็จจนต้องหลบหนีไปจากวังหลวงและลอบปลอมแปลงราช โองการ นำกำลังทัพจากหัวเมืองต่าง ๆ มากำจัดตั๋งโต๊ะ แต่กองทัพหัวเมืองกลับแตกแยกกันเองจึงทำให้การกำจัดตั๋งโต๊ะล้มเหลว อ้องอุ้นจึงวางแผนยกเตียวเสี้ยนบุตร สาวบุญธรรมให้แก่ตั๋งโต๊ะและลิโป้บุตรบุญธรรม จนตั๋งโต๊ะผิดใจกับลิโป้เรื่องนางเตียวเสี้ยน ทำให้ลิโป้แค้นและฆ่าตั๋งโต๊ะ หลังจากตั๋งโต๊ะตาย ลิฉุยและกุยกีได้ เข้ายึดอำนาจอีกครั้งและฆ่าอ้องอุ้นตาย รวมทั้งบังคับพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่ภายใต้อำนาจ สร้างความคับแค้นใจให้แก่พระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นอย่างยิ่ง จนมีรับสั่งให้เรียกโจโฉมาช่วยกำจัดลิฉุย กุยกีและเหล่าทหาร
โจโฉเข้าปราบปรามกบฎและยึดอำนาจในวังหลวงไว้ได้ แต่เกิดความกำเริบเสิบสานทะเยอทะยานถึงกับแต่งตั้งตนเองเป็นมหาอุปราช ควบคุมพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่ภายใต้อำนาจอีกครั้ง ข่มเหงรังแกเหล่าขุนนางที่สุจริต พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงใช้พระโลหิตเขียนสาสน์ลับไปยังเหล่าขุนนางที่จงรักภักดี เพื่อให้ช่วยกำจัดโจโฉแต่ถูกจับได้ทำให้เหล่าขุนนางถูกฆ่าตายหมด ความอสัตย์ของโจโฉแพร่กระจายไปทั่วทำให้บรรดาหัวเมืองต่าง ๆ พากันแข็งข้อไม่ยอมขึ้นด้วย โจโฉจึงนำกำลังยกทัพไปปราบปรามได้เกือบหมด แต่ไม่สามารถปราบปรามเล่าปี่และซุนกวนได้ เล่าปี่เป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่นมี ศักดิ์เป็นอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่มีความยากจนอนาถา มีคนดีมีฝีมือไว้เป็นทหารหลายคนแต่มีกำลังไพร่พลน้อยทำให้ต้องคอยหลบหนี ศัตรูอยู่เสมอ จนได้จูกัดเหลียงมา เป็นที่ปรึกษาช่วยวางแผนกำลังรบให้ จึงสามารถตั้งตนเป็นใหญ่ในเมืองเสฉวนได้ สำหรับซุนกวนเป็นเจ้าเมืองกังตั๋งโดยการสืบสกุล เป็นเจ้าเมืองที่มีศีลธรรม ปกครองบ้านเมืองด้วยความยุติธรรมจึงเป็นที่เคารพนับถือและยอมสวามิภักดิ์มาก มาย ทั้งสามฝ่ายต่างทำศึกสงครามกันตลอด แต่ก็ไม่อาจเอาชนะซึ่งกันและกันได้
เมื่อโจโฉตาย โจผีบุตรชายขึ้นครองราชสมบัติแทน สั่งปลดพระเจ้าเหี้ยนเต้และสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ ทรงพระนามว่าพระเจ้าเหวินตี้ ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์วุย เล่าปี่ซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่นก็สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิสืบทอด ราชวงศ์ฮั่น โดยใช้เมืองเสฉวนเป็นเมืองหลวง ซุนกวนซึ่งไม่ยอมขึ้นกับพระเจ้าโจผีหรือเล่าปี่จึงตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิ ปกครองเมืองกังตั๋ง ทำให้ประเทศจีนในขณะนั้นแตกแยกออกเป็นสามอาณาจักรหรือที่เรียกขานกันว่าสาม ก๊กได้แก่ฝ่ายจ๊กก๊กของเล่าปี่ วุยก๊กของโจผีและง่อก๊กของซุนกวน ภายหลังจากพระเจ้าโจผี พระเจ้าเล่าปี่และพระเจ้าซุนกวนสวรรคต เชื้อสายราชวงศ์เริ่มอ่อนแอ สุมาเจียวซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นมหาอุปราชของวุยก๊ก สามารถเอาชนะจ๊กก๊กและควบคุมตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนมาเป็นเชลยได้สำเร็จ หลังจากสุมาเจียวตาย สุมาเอี๋ยนบุตรชายสืบทอดตำแหน่งแทนและช่วงชิงราชสมบัติของวุยก๊กมาจากพระเจ้าโจฮวนและแต่งตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิ ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์จิ้น พระเจ้าสุมาเอี๋ยนสามารถปราบพระเจ้าซุนโฮแห่งง่อก๊กให้ยินยอมสวามิภักดิ์ได้สำเร็จ แผ่นดินจีนที่เคยแตกแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่ามายาวนาน กลับรวมกันเป็นอาณาจักรเดียวได้ดั่งเดิม
ภายหลังจากที่พระเจ้าฮั่นโกโจ ได้สถาปนาราชวงศ์ฮั่นจนมีการสืบทอดราชวงศ์มามากกว่าสี่ร้อยปี ในยุคสมัยของพระเจ้าเลนเต้เกิดการขัดแย้งกันเองภายในราชวงศ์ฮั่นจนถึงการแย่งชิงอำนาจและราชสมบัติ พระเจ้าเลนเต้ไม่ทรงตั้งตนในทศพิธราชธรรม ขาดความเฉลียวฉลาด เชื่อแต่คำของเหล่าสิบขันที เหล่าขุนนางถืออำนาจขูดรีดราษฏรจนได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว โจรผู้ร้ายชุกชุมปล้นสะดมไปทั่วแผ่นดิน ดังจดหมายเหตุของจีนตอนหนึ่งได้บันทึกไว้ว่า "ขุนนางถือราษฏรดั่งหนึ่งอริราชศัตรู ขูดรีดภาษีอากรโหดร้ายยิ่งกว่าเสือ"[14] เกิดกบฎชาวนานำโดยเตียวก๊ก หัวหน้ากลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองออกปล้นชิงเมืองต่าง ๆ จนเกิดความวุ่นวายแตกแยกแผ่นดินเป็นก๊กเป็นเหล่าจำนวนมาก
ภายหลังพระเจ้าเลนเต้สวรรคต เกิดการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระราชโอรสทั้งสองพระองค์แต่ต่างพระชนนี พระเจ้าหองจูเปียนได้สืบทอดราชสมบัติโดยมีพระนางโฮเฮาผู้เป็นมารดาเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่ในราชสำนักคงเกิดความวุ่นวายจากเหล่าขันทีทั้งสิบ โฮจิ๋นผู้เป็นพระเชษฐาของพระนางโฮเฮาจึงวางอุบายให้ตั๋งโต๊ะมา ช่วยกำจัดเหล่าขันที แต่โฮจิ๋นกลับถูกลวงไปฆ่าทำให้เหล่าทหารของโฮจิ๋นยกกำลังเข้าวังหลวงเพื่อ แก้แค้นจนเกิดจลาจลขึ้น ภายหลังตั๋งโต๊ะยกทัพมาถึงวังหลวงและฉวยโอกาสในขณะที่เกิดความวุ่นวายยึด อำนาจมาเป็นของตน สั่งถอดพระเจ้าหองจูเปียนและปลงพระชนม์ และสถาปนาพระเจ้าหองจูเหียบขึ้นแทน ทรงพระนามว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ และสถาปนาตนเองเป็นพระมหาอุปราช มีฐานะเป็นบิดาบุญธรรมของพระเจ้าเหี้ยนเต้
ตั๋งโต๊ะถืออำนาจเป็นใหญ่ในราชสำนัก สั่งประหารผู้ที่ไม่เห็นด้วยกันตนเองจนเหล่าขุนนางพากันโกรธแค้น โจโฉพยายาม ลอบฆ่าตั๋งโต๊ะแต่ไม่สำเร็จจนต้องหลบหนีไปจากวังหลวงและลอบปลอมแปลงราช โองการ นำกำลังทัพจากหัวเมืองต่าง ๆ มากำจัดตั๋งโต๊ะ แต่กองทัพหัวเมืองกลับแตกแยกกันเองจึงทำให้การกำจัดตั๋งโต๊ะล้มเหลว อ้องอุ้นจึงวางแผนยกเตียวเสี้ยนบุตร สาวบุญธรรมให้แก่ตั๋งโต๊ะและลิโป้บุตรบุญธรรม จนตั๋งโต๊ะผิดใจกับลิโป้เรื่องนางเตียวเสี้ยน ทำให้ลิโป้แค้นและฆ่าตั๋งโต๊ะ หลังจากตั๋งโต๊ะตาย ลิฉุยและกุยกีได้ เข้ายึดอำนาจอีกครั้งและฆ่าอ้องอุ้นตาย รวมทั้งบังคับพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่ภายใต้อำนาจ สร้างความคับแค้นใจให้แก่พระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นอย่างยิ่ง จนมีรับสั่งให้เรียกโจโฉมาช่วยกำจัดลิฉุย กุยกีและเหล่าทหาร
โจโฉเข้าปราบปรามกบฎและยึดอำนาจในวังหลวงไว้ได้ แต่เกิดความกำเริบเสิบสานทะเยอทะยานถึงกับแต่งตั้งตนเองเป็นมหาอุปราช ควบคุมพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่ภายใต้อำนาจอีกครั้ง ข่มเหงรังแกเหล่าขุนนางที่สุจริต พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงใช้พระโลหิตเขียนสาสน์ลับไปยังเหล่าขุนนางที่จงรักภักดี เพื่อให้ช่วยกำจัดโจโฉแต่ถูกจับได้ทำให้เหล่าขุนนางถูกฆ่าตายหมด ความอสัตย์ของโจโฉแพร่กระจายไปทั่วทำให้บรรดาหัวเมืองต่าง ๆ พากันแข็งข้อไม่ยอมขึ้นด้วย โจโฉจึงนำกำลังยกทัพไปปราบปรามได้เกือบหมด แต่ไม่สามารถปราบปรามเล่าปี่และซุนกวนได้ เล่าปี่เป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่นมี ศักดิ์เป็นอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่มีความยากจนอนาถา มีคนดีมีฝีมือไว้เป็นทหารหลายคนแต่มีกำลังไพร่พลน้อยทำให้ต้องคอยหลบหนี ศัตรูอยู่เสมอ จนได้จูกัดเหลียงมา เป็นที่ปรึกษาช่วยวางแผนกำลังรบให้ จึงสามารถตั้งตนเป็นใหญ่ในเมืองเสฉวนได้ สำหรับซุนกวนเป็นเจ้าเมืองกังตั๋งโดยการสืบสกุล เป็นเจ้าเมืองที่มีศีลธรรม ปกครองบ้านเมืองด้วยความยุติธรรมจึงเป็นที่เคารพนับถือและยอมสวามิภักดิ์มาก มาย ทั้งสามฝ่ายต่างทำศึกสงครามกันตลอด แต่ก็ไม่อาจเอาชนะซึ่งกันและกันได้
เมื่อโจโฉตาย โจผีบุตรชายขึ้นครองราชสมบัติแทน สั่งปลดพระเจ้าเหี้ยนเต้และสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ ทรงพระนามว่าพระเจ้าเหวินตี้ ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์วุย เล่าปี่ซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่นก็สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิสืบทอด ราชวงศ์ฮั่น โดยใช้เมืองเสฉวนเป็นเมืองหลวง ซุนกวนซึ่งไม่ยอมขึ้นกับพระเจ้าโจผีหรือเล่าปี่จึงตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิ ปกครองเมืองกังตั๋ง ทำให้ประเทศจีนในขณะนั้นแตกแยกออกเป็นสามอาณาจักรหรือที่เรียกขานกันว่าสาม ก๊กได้แก่ฝ่ายจ๊กก๊กของเล่าปี่ วุยก๊กของโจผีและง่อก๊กของซุนกวน ภายหลังจากพระเจ้าโจผี พระเจ้าเล่าปี่และพระเจ้าซุนกวนสวรรคต เชื้อสายราชวงศ์เริ่มอ่อนแอ สุมาเจียวซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นมหาอุปราชของวุยก๊ก สามารถเอาชนะจ๊กก๊กและควบคุมตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนมาเป็นเชลยได้สำเร็จ หลังจากสุมาเจียวตาย สุมาเอี๋ยนบุตรชายสืบทอดตำแหน่งแทนและช่วงชิงราชสมบัติของวุยก๊กมาจากพระเจ้าโจฮวนและแต่งตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิ ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์จิ้น พระเจ้าสุมาเอี๋ยนสามารถปราบพระเจ้าซุนโฮแห่งง่อก๊กให้ยินยอมสวามิภักดิ์ได้สำเร็จ แผ่นดินจีนที่เคยแตกแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่ามายาวนาน กลับรวมกันเป็นอาณาจักรเดียวได้ดั่งเดิม
วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ปืนสั้นหรือปืนพก
อาวุธปืนขนาดเล็กที่สุดนั้นคือปืนสั้นหรือปืนพก ปืนสั้นนั้นมีด้วยกันสามชนิด คือ แบบยิงทีละนัด ปืนลูกโม่ และปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ปืนลูกโม่จะมีจำนวนการยิงตามช่องใส่กระสุนทรงกระบอก ในแต่ละช่องของทรงกระบอกจะบรรจุกระสุนเอาไว้หนึ่งนัด ปืนพกกึ่งอัตโนมัติจะมีช่องปืนเพียงช่องเดียวที่ด้านท้ายของลำกล้องและมีแมกกาซีนที่สามารถเปลี่ยนได้จึงทำให้พวกมันสามารถยิงได้มากกว่าหนึ่งนัด ปืนลูกโม่มาเตบาของอิตาลีเป็นแบบลูกผสมที่หายาก ในการเหนี่ยงไกแต่ละครั้งจะหมุนกระบอกทันทีจนทำให้มันยิงได้อย่างรวดเร็ว ปืนเว้บลีย์ของอังกฤษก็เป็นปืนลูกโม่อัตโนมัติเช่นกัน มันเกิดขึ้นประมาณศตวรษที่ 20
ปืนสั้นแตกต่างจากปืนเล็กยาวหรือปืนไรเฟิลและปืนลูกซองด้วยขนาดที่เล็กกว่า ขาดพานท้าย กระสุนที่ไม่ทรงพลังเท่า และถูกออกแบบมาเพื่อใช้ด้วยหนึ่งหรือสองมือ ในขณะที่คำว่า"ปืนพก"สามารถใช้เพื่อบรรยายถึงปืนสั้น มันมักหมายถึงปืนพกที่ยิงทีละนัดหรือแบบที่ป้อนกระสุนอัตโนมัติ และปืนลูกโม่ก็จะหมายความโดยตรง
คำว่า"ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ"ใช้และบางครั้งก็เข้าใจผิดว่าเป็นปืนอัตโนมัติ เนื่องจากอันที่จริงแล้วคำว่าอัตโนมัติของมันไม่ได้หมายถึงกลไกการยิงแต่เป็นการป้อนกระสุน เมื่อยิงปืนพกกึ่งอัตโนมัติจะใช้แก๊สเพื่อดีดปลอกกระสุนเก่าออกและใส่กระสุนใหม่เข้าไปแทนโดยอัตโนมัติ โดยปกติแล้ว (แต่ก็ไม่เสมอไป) กลไกการยิงก็เป็นระบบอัตโนมัติเช่นกัน ปืนพกอัตโนมัติจะยิงกระสุนหนึ่งนัดต่อการเหนี่ยวไกหนึ่งครั้ง ไม่เหมือนกับอาวุธปืนอัตโนมัติอย่างปืนกลซึ่งยิงตลอดนานเท่าที่เหนี่ยวไกและจะมีปลอกกระสุนที่ยังไม่ได้ใช้ในแมกกาซีน อย่างไรก็ตามปืนพกบางรุ่นก็เป็นแบบอัตโนมัติเต็มที่ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน ทั้ง"กึ่งอัตโนมัติ"และ"บรรจุกระสุนอัตโนมัติ"จึงหมายถึงอาวุธปืนที่ยิงหนึ่งนัดต่อการเหนี่ยวไก
ก่อนศตวรรษที่ 19 ปืนสั้นทั้งหมดเป็นแบบยิงทีละนัด ด้วยการประดิษฐ์ปืนลูกโม่ขึ้นมาในปีพ.ศ. 2321 ปืนพกก็สามารถมีกระสุนได้มากกว่าหนึ่งและมันก็กลายมาเป็นที่นิยม การออกแบบปืนพกบรรจุกระสุนอัตโนมัตินั้นปรากฏตัวขึ้นในทศวรรษที่ 1870 และได้เข้ามาแทนที่ปืนลูกโม่เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อจบศตวรรษที่ 20 ปืนสั้นส่วนมากที่ถูกใช้โดยกองทัพ ตำรวจ และพลเรือนเป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ถึงแม้ว่าปืนลูกโม่ยังคงเป็นที่แพร่หลายอยู่ กองทัพและตำรวจใช้ปืนพกกึ่งอัตโนมัติเพราะว่าความจุของแมกกาซีนที่มากและความสามารถในการบรรจุกระสุนได้อย่างรวดเร็ว ปืนลูกโม่เป็นที่ชื่นชอบในหมู่นักสะสมเพราะว่ามันทรงพลังมากกว่าปืนรุ่นใหม่และความทนทาน ง่ายดาย และแข็งแกร่งทำให้มันเหมาะกับการใช้อย่างทรหด การออกแบบทั้งสองเป็นที่นิยมในหมู่พลเรือนซึ่งขึ้นอยู่กับความชอบของเจ้าของ
ปืนสั้นมีหลายรูปร่างและขนาด ตัวอย่างเช่น "เดอร์ริงเกอร์"เป็นปืนที่มีขนาดเล็กมาก ลำกล้องที่สั้น มักมีหนึ่งหรือสองลำกล้องแต่บางครั้งก็มีมากกว่านั้น ซึ่งต้องบรรจุกระสุนด้วยมือหลังจากทำการยิง ปืนสำหรับการดวล มันถูกใช้อย่างมากในหมู่สุภาพบุรุษ พวกเขามักมีมันเพื่อแสดงถึงตำแหน่งและความสูงศักดิ์ ปืนลูกโม่และปืนพกบรรจุกระสุนอัตโนมัติมีขนาดที่หลากหลาย ซึ่งปืนพกแบบใหม่มักสี่ขนาด ในแต่ละขนาดจะมีข้อดีและข้อด้อย ปืนที่เล็กกว่ามักจะต้องแลกด้วยกระสุนที่น้อยลง ในขณะที่ปืนที่ใหญ่กว่าก็จะมีความแม่นยำมากกว่า ในปืนแบบอัตโนมัติอย่าง เอ็มเอซี-10 กล็อก 18 และเบเรทต้า 93อาร์เป็นการพัฒนาครั้งล่าสุดของศวรรษที่ 20
ปืนสั้นมีขนาดเล็กและมักง่ายที่จะพกพา ดังนั้นทำให้มือทั้งสองนั้นว่างพอที่จะทำอย่างอื่นได้ ปืนสั้นที่มีขนาดเล็กสามารถเก็บซ่อนได้ง่าย ทำให้มันถูกเลือกเป็นอาวุธสำหรับป้องกันตัว ในกองทัพปืนสั้นมักใช้โดยผู้ที่ไม่คาดว่าจะต้องใช้อาวุธปืนจริงๆ อย่างนายพลและนายทหาร และสำหรับผู้ที่ไม่มีที่ว่างพอจะใช้ปืนเล็กยาวอย่างนักบินหรือพลขับยานพาหนะ ในบทบาทสุดท้ายนี้พวกมันมักถูกใช้เป็นคาร์บิน คือปืนเล็กยาวขนาดสั้นซึ่งมักใช้โดยทหารพลร่มเพราะว่าขนาดที่เล็กของมัน ปืนสั้นยังถูกใช้โดยพลปืนเล็กยาวในฐานะอาวุธสำรอง อย่างไรก็ดีความเชื่อถือได้ในการยิงและอำนาจการยิงนั้นก็ตกเป็นของปืนเล็กยาวจู่โจม มันจึงทำให้ปืนสั้นแทบหมดประโยชน์ไปเมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 20 นอกจากกองทัพแล้วปืนสั้นก็มักเป็นอาวุธของตำรวจและพลเรือนตามกฎหมาย
ปืนสั้รมีขนาดที่เล็กและมักทำมาเพื่อบรรจุในซองปืน ดังนั้นมือทั้งสองข้างจึงว่าง ปืนสั้นนั้นง่ายที่จะทำการซ่อน มันจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการใช้ป้องกันตัว ในกองทัพปืนสั้นมักจะถูกใช้โดยผู้ที่ไม่น่าจะต้องใช้อาวุธปืนจริงๆ อย่างนายพลและนายทหาร และใช้โดยผู้ที่ไม่มีพื้นที่พอในการใช้ปืนเล็กยาว เช่น นักบินหรือพลขับ ในบทบาทสุดท้ายนี้มันมักใช้เป็นคาร์บิน คือปืนไรเฟิลขนาดสั้นซึ่งมักถูกใช้โดยพลร่มเนื่องมาจากขนาดที่เล็กของมัน ปืนสั้นถูกใช้เป็นอาวุธรองโดยพลปืนเล็กยาว อย่างไรก็ตามความไว้ใจได้และอำนาจการยิงตกเป็นของปืนเล็กยาวจู่โจมในปัจจุบันและทำให้การใช้ปืนสั้นในวิธีดั้งเดิมเปลี่ยนไปเมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 20 นอกเหนือจากกองทัพแล้วปืนสั้นจะถูกใช้โดยตำรวจและพลเมืองตามกฎหมาย
พลเมืองมีสิทธิในการพกอาวุธในที่สาธารณะเป็นปืนสั้นเท่านั้นยกเว้นเมื่อทำการล่าสัตว์ เพราะอาวุธปืนที่ไม่ได้ปกปิดนั้นจะดังดูดความสนใจและไม่ค่อยปลอดภัยนัก ปืนสั้นยังถูกใช้ในกีฬาถึงแม้ว่าการล่าสัตว์ที่เป็นกีฬานั้นจะไม่เหมาะกับปืนสั้นก็ตาม นักล่าสัตว์บางคนที่ต้องทการล่าในที่ที่แคบก็มักเลือกที่จะใช้ปืนสั้นแทน กระสุนปืนสั้นยังถูกกว่ากระสุนของปืนเล็กยาวและมักมีประสิทธิภาพกับสัตว์หลายชนิด
ปืนสั้นแตกต่างจากปืนเล็กยาวหรือปืนไรเฟิลและปืนลูกซองด้วยขนาดที่เล็กกว่า ขาดพานท้าย กระสุนที่ไม่ทรงพลังเท่า และถูกออกแบบมาเพื่อใช้ด้วยหนึ่งหรือสองมือ ในขณะที่คำว่า"ปืนพก"สามารถใช้เพื่อบรรยายถึงปืนสั้น มันมักหมายถึงปืนพกที่ยิงทีละนัดหรือแบบที่ป้อนกระสุนอัตโนมัติ และปืนลูกโม่ก็จะหมายความโดยตรง
คำว่า"ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ"ใช้และบางครั้งก็เข้าใจผิดว่าเป็นปืนอัตโนมัติ เนื่องจากอันที่จริงแล้วคำว่าอัตโนมัติของมันไม่ได้หมายถึงกลไกการยิงแต่เป็นการป้อนกระสุน เมื่อยิงปืนพกกึ่งอัตโนมัติจะใช้แก๊สเพื่อดีดปลอกกระสุนเก่าออกและใส่กระสุนใหม่เข้าไปแทนโดยอัตโนมัติ โดยปกติแล้ว (แต่ก็ไม่เสมอไป) กลไกการยิงก็เป็นระบบอัตโนมัติเช่นกัน ปืนพกอัตโนมัติจะยิงกระสุนหนึ่งนัดต่อการเหนี่ยวไกหนึ่งครั้ง ไม่เหมือนกับอาวุธปืนอัตโนมัติอย่างปืนกลซึ่งยิงตลอดนานเท่าที่เหนี่ยวไกและจะมีปลอกกระสุนที่ยังไม่ได้ใช้ในแมกกาซีน อย่างไรก็ตามปืนพกบางรุ่นก็เป็นแบบอัตโนมัติเต็มที่ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน ทั้ง"กึ่งอัตโนมัติ"และ"บรรจุกระสุนอัตโนมัติ"จึงหมายถึงอาวุธปืนที่ยิงหนึ่งนัดต่อการเหนี่ยวไก
ก่อนศตวรรษที่ 19 ปืนสั้นทั้งหมดเป็นแบบยิงทีละนัด ด้วยการประดิษฐ์ปืนลูกโม่ขึ้นมาในปีพ.ศ. 2321 ปืนพกก็สามารถมีกระสุนได้มากกว่าหนึ่งและมันก็กลายมาเป็นที่นิยม การออกแบบปืนพกบรรจุกระสุนอัตโนมัตินั้นปรากฏตัวขึ้นในทศวรรษที่ 1870 และได้เข้ามาแทนที่ปืนลูกโม่เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อจบศตวรรษที่ 20 ปืนสั้นส่วนมากที่ถูกใช้โดยกองทัพ ตำรวจ และพลเรือนเป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ถึงแม้ว่าปืนลูกโม่ยังคงเป็นที่แพร่หลายอยู่ กองทัพและตำรวจใช้ปืนพกกึ่งอัตโนมัติเพราะว่าความจุของแมกกาซีนที่มากและความสามารถในการบรรจุกระสุนได้อย่างรวดเร็ว ปืนลูกโม่เป็นที่ชื่นชอบในหมู่นักสะสมเพราะว่ามันทรงพลังมากกว่าปืนรุ่นใหม่และความทนทาน ง่ายดาย และแข็งแกร่งทำให้มันเหมาะกับการใช้อย่างทรหด การออกแบบทั้งสองเป็นที่นิยมในหมู่พลเรือนซึ่งขึ้นอยู่กับความชอบของเจ้าของ
ปืนสั้นมีหลายรูปร่างและขนาด ตัวอย่างเช่น "เดอร์ริงเกอร์"เป็นปืนที่มีขนาดเล็กมาก ลำกล้องที่สั้น มักมีหนึ่งหรือสองลำกล้องแต่บางครั้งก็มีมากกว่านั้น ซึ่งต้องบรรจุกระสุนด้วยมือหลังจากทำการยิง ปืนสำหรับการดวล มันถูกใช้อย่างมากในหมู่สุภาพบุรุษ พวกเขามักมีมันเพื่อแสดงถึงตำแหน่งและความสูงศักดิ์ ปืนลูกโม่และปืนพกบรรจุกระสุนอัตโนมัติมีขนาดที่หลากหลาย ซึ่งปืนพกแบบใหม่มักสี่ขนาด ในแต่ละขนาดจะมีข้อดีและข้อด้อย ปืนที่เล็กกว่ามักจะต้องแลกด้วยกระสุนที่น้อยลง ในขณะที่ปืนที่ใหญ่กว่าก็จะมีความแม่นยำมากกว่า ในปืนแบบอัตโนมัติอย่าง เอ็มเอซี-10 กล็อก 18 และเบเรทต้า 93อาร์เป็นการพัฒนาครั้งล่าสุดของศวรรษที่ 20
ปืนสั้นมีขนาดเล็กและมักง่ายที่จะพกพา ดังนั้นทำให้มือทั้งสองนั้นว่างพอที่จะทำอย่างอื่นได้ ปืนสั้นที่มีขนาดเล็กสามารถเก็บซ่อนได้ง่าย ทำให้มันถูกเลือกเป็นอาวุธสำหรับป้องกันตัว ในกองทัพปืนสั้นมักใช้โดยผู้ที่ไม่คาดว่าจะต้องใช้อาวุธปืนจริงๆ อย่างนายพลและนายทหาร และสำหรับผู้ที่ไม่มีที่ว่างพอจะใช้ปืนเล็กยาวอย่างนักบินหรือพลขับยานพาหนะ ในบทบาทสุดท้ายนี้พวกมันมักถูกใช้เป็นคาร์บิน คือปืนเล็กยาวขนาดสั้นซึ่งมักใช้โดยทหารพลร่มเพราะว่าขนาดที่เล็กของมัน ปืนสั้นยังถูกใช้โดยพลปืนเล็กยาวในฐานะอาวุธสำรอง อย่างไรก็ดีความเชื่อถือได้ในการยิงและอำนาจการยิงนั้นก็ตกเป็นของปืนเล็กยาวจู่โจม มันจึงทำให้ปืนสั้นแทบหมดประโยชน์ไปเมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 20 นอกจากกองทัพแล้วปืนสั้นก็มักเป็นอาวุธของตำรวจและพลเรือนตามกฎหมาย
ปืนสั้รมีขนาดที่เล็กและมักทำมาเพื่อบรรจุในซองปืน ดังนั้นมือทั้งสองข้างจึงว่าง ปืนสั้นนั้นง่ายที่จะทำการซ่อน มันจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการใช้ป้องกันตัว ในกองทัพปืนสั้นมักจะถูกใช้โดยผู้ที่ไม่น่าจะต้องใช้อาวุธปืนจริงๆ อย่างนายพลและนายทหาร และใช้โดยผู้ที่ไม่มีพื้นที่พอในการใช้ปืนเล็กยาว เช่น นักบินหรือพลขับ ในบทบาทสุดท้ายนี้มันมักใช้เป็นคาร์บิน คือปืนไรเฟิลขนาดสั้นซึ่งมักถูกใช้โดยพลร่มเนื่องมาจากขนาดที่เล็กของมัน ปืนสั้นถูกใช้เป็นอาวุธรองโดยพลปืนเล็กยาว อย่างไรก็ตามความไว้ใจได้และอำนาจการยิงตกเป็นของปืนเล็กยาวจู่โจมในปัจจุบันและทำให้การใช้ปืนสั้นในวิธีดั้งเดิมเปลี่ยนไปเมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 20 นอกเหนือจากกองทัพแล้วปืนสั้นจะถูกใช้โดยตำรวจและพลเมืองตามกฎหมาย
พลเมืองมีสิทธิในการพกอาวุธในที่สาธารณะเป็นปืนสั้นเท่านั้นยกเว้นเมื่อทำการล่าสัตว์ เพราะอาวุธปืนที่ไม่ได้ปกปิดนั้นจะดังดูดความสนใจและไม่ค่อยปลอดภัยนัก ปืนสั้นยังถูกใช้ในกีฬาถึงแม้ว่าการล่าสัตว์ที่เป็นกีฬานั้นจะไม่เหมาะกับปืนสั้นก็ตาม นักล่าสัตว์บางคนที่ต้องทการล่าในที่ที่แคบก็มักเลือกที่จะใช้ปืนสั้นแทน กระสุนปืนสั้นยังถูกกว่ากระสุนของปืนเล็กยาวและมักมีประสิทธิภาพกับสัตว์หลายชนิด
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ประวัติอาวุธปืน
ในยุคกลางคำว่า"อาวุธปืน"หรือ"ไฟร์อาร์ม" (อังกฤษ: firearm) ถูกใช้โดยอังกฤษเพื่อระบุอาวุธที่จะต้องใช้ไม้ขีดไฟเพื่อจุดระเบิดของปืน ใหญ่ คำดังกล่าวยังเป็นแบบหนึ่งที่ใช้เรียกนักธนูอีกด้วย เนื่องมาจากผลกระทบของการยิงในตอนนั้นพลปืนจึงต้องอยู่ที่ส่วนหลังของปืน ใหญ่ พร้อมอีกมือหนึ่งค้ำเอาไว้ จึงได้ชื่อว่า"แฮนด์กัน" (อังกฤษ: hand gun) กลายมามีความหมายเดียวกับคำว่า"ไฟร์อาร์ม" ถึงแม้ว่าคำว่า"ปืน"หรือ"กัน" (อังกฤษ: gun) ในปัจจุบันจะมักใช้เพื่อหมายถึงอาวุธปืน แต่ในทางทหารหรือผู้เชี่ยวชาญจะใช้เพื่อหมายถึงปืนขนาดใหญ่เท่า นั้น ปืนใหญ่จะมีขนาดใหญ่กว่าอาวุธปืนอย่างมาก มักติดตั้งบนแท่นที่เคลื่อนที่ได้ จะมีขนาดมากถึง 18 นิ้วและอาจมีน้ำหนักถึงตัน อาวุธเช่นนี้ไม่ใช่อาวุธปืน
อาวุธปืนที่ถือได้อย่างปืนเล็กยาว คาร์บิน ปืนพก และอาวุธปืนขนาดเล็กอื่นๆ มักไม่ถูกเรียกว่า"ปืน"หรือ"กัน"ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ ปืนกลจะ ยิงกระสุนขนาดเล็กกว่า (โดยปกติแล้วจะมีขนาด 14.5 ม.ม.หรือเล็กกว่า) และปืนกลมากมายจะมีทหารคอยบังคับมากกว่าหนึ่งนาย เช่นเดียวกันกับปืนใหญ่ โดยปกติแล้วอาวุธปืนอัตโนมัติที่ถูกออกแบบมาเพื่อผู้ใช้เพียงคนเดียวจะเรียก ว่าปืนเล็กยาวอัตโนมัติ
ในศตวรรษปัจจุบันอาวุธปืนได้กลายมาเป็นอาวุธที่มีอำนาจที่ถูกใช้โดยมนุษย์ชาติ ในสงครามยุคใหม่ตั้งแต่ยุคเรอเนสซองซ์ได้มีการใช้อาวุธปืนมากมายในประวัติศาสตร์ทางทหารและประวัติศาสตร์ทั่วไป สิ่งนี้ได้สร้างการรบแบบใหม่ขึ้นมาซึ่งเป็นการหลอมหลอมกองทัพยุตใหม่
สำหรับปืนสั้นและปืนยาวในยุคก่อนๆ นั้นจะใช้กระสุนที่เป็นทรงกลมและมีการเริ่มทำเป็นทรงเรียวในยุคใหม่ แต่ไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยลูกเหล็กทรงกลม กระสุนจะถูกยิงโดยการเผาไหม้ที่รวดเร็วแต่ในอาวุธขนาดเล็กมักจะบรรจุระเบิด ไว้ภายในตัวเองซึ่งถูกสั่งห้ามในสนธิสัญญา (Hague Convention) กระสุนของอาวุธขนาดเล็กถูกสั่งห้ามในสงครามด้วยเหตุผลคล้ายๆ กัน สำหรับปืนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นกระสุนที่มีระเบิดเช่นเดียวกับแบบก่อนๆ
จนกระทั่งถึงทศวรรษที่ 1800 กระสุนและดินปืนถูกแยกออกจากกันถูกใช้โดยอาวุธอย่างปืนเล็กยาว ปืนพก และปืนใหญ่ บางครั้งเพื่อความสะดวกในความเหมาะสมของดินปืนและกระสุนถูกห่อรวมกันใน กระดาษ เรียกว่าปลอกกระสุนปืน (อังกฤษ: Cartridge) สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับท่อเหล็กที่ห่อหุ้มตัวจุดระเบิดและดินระเบิด ซึ่งกระสุนจะวางไว้ที่ปลายตรงกันข้ามกับตัวจุดระเบิด กระสุนแบบมีปลอกนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายและในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมัน ก็ได้กลายมาเป็นกระสุนแบบพื้นฐานสำหรับอาวุธปืนขนาดเล็ก รถถัง และปืนใหญ่ ปืนครกจะใช้การห่อหุ้มที่คล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตามกระสุนและกรอบมักรวมเป็นชิ้นเดียวกันซึ่งจะถูกยิงออกจากอาวุธ ปืน ปืนใหญ่ประจำเรือพิสัยใกล้มีบ้างที่ใช้กระสุนแบบกรอบ แต่ปืนบนเรือประจัญบานและเรือลาดตระเวนส่วนใหญ่ใช้กระสุนระเบิดและแยกออกจาก ดินปืน ซึ่งถูกเลือกตามความต้องการในกระสุนแบบทรงเรียว
ความแตกต่างระหว่างกระสุนกับอาวุธปืนก็คือบางครั้งกระสุนนั้นหมายถึง อาวุธ ส่วนอาวุธปืนนั้นหมายถึงแท่นอาวุธ ในบางกรณีอาวุธปืนสามารถใช้เป็นอาวุธได้โดยตรงในการต่อสู้ระยะใกล้ ตัวอย่างเช่น ปืนเล็กยาว ปืนคาบศิลา และปืนกลมือสามารถติดดาบปลายปืนจนทำให้มันกลายเป็นหอกหรือหลาว ด้วยบางข้อยกเว้น พานท้ายปืนของปืนยาวสามารถใช้เป็นตะบองเพื่อตีได้ มันยังเป็นไปได้ที่จะตีใครด้วยลำกล้องปืนหรือด้ามจับ
ปัญหาของอาวุธปืนคือการเก็บรักษา ตัวกระสุนเองมักทิ้งเศษเอาไว้ และมันอาจก่อให้เกิดการขัดลำกล้องได้ เศษผงเหล่านี้มักก่อให้เกิดการขัดข้องภายในลำกล้อง มันจะส่งผลให้ต้องทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาความมีประสิทธิภาพของ ปืนเอาไว้
บางครั้งอาวุธปืนจะหมายถึงอาวุธปืนขนาดเล็ก อาวุธดังกล่าวคืออาวุธปืนที่สามารถขนย้ายได้ด้วยบุคคลคนเดียว ตามที่ว่าเอาไว้ในกฎหมายสงคราม อาวุธปืนขนาดเล็กถูกจัดว่าเป็นอาวุธปืนซึ่งยิงกระสุนที่ไม่มากไปกว่า 15 ม.ม.[ต้องการแหล่งอ้างอิง] อาวุธปืนขนาดเล็กจะถูกเล็งโดยปกติโดยใช้ศูนย์เล็งธรรมดา ระยะความแม่นยำสำหรับอาวุธปืนขนาดเล็กมักมีข้อจำกัดประมาณ 1,600 เมตร โดยทั่วไปแล้วจัดว่าน้อย ถึงแม้ว่าสถิติในปัจจุบันของปืนซุ่มยิงจะมากกว่า 2.4 กิโลเมตรก็ตาม
ความเป็นมาของรถถัง
สวัสดีครับ วันนี้เราจะมาพูดถึงประวัติความเป็นมาของรถถัง นะครับ ผู้เขียนแต่เขียนเอาแต่เรื่องขำๆ มาเล่า ตลอด เลยจะเอาเป็นการเป็นงานบ้าง 555+ เราเข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะครับ รถถัง เป็นยานพาหนะต่อสู้หุ้มเกราะติดตีนตะขาบที่ ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการรบที่แนวหน้าซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างความคล่อง ตัว การรุก และการป้องกัน อำนาจการยิงของมันมาจากปืนหลักขนาดใหญ่ของมันที่ติดตั้งอยู่บนป้อมส่วนบนที่ หมุนได้พรัอมกับมีปืนกลติด ตั้งอยู่เพื่อเป็นอาวุธรอง ในขณะที่เกราะขนาดหนักและความสามารถในการเคลื่อนที่ของมันเป็นสิ่งที่คอยปก ป้องชีวิตของลูกเรือ นั่นทำให้มันสามารถทำงานหลักของทหารราบยานเกราะได้ทั้งหมดในสมรภูมิ[1]
รถถังเริ่มนำมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยฝรั่งเศสและใช้ต่อสู้ครั้งแรกโดยอังกฤษ เพื่อใช้มันฝ่าทะลุแนวสนามเพลาะ พวกมันถูกใช้ในยุทธการซอมม์ในจำนวนน้อยมาก ในช่วงที่มันถูกสร้างขึ้นมันถูกเรียกว่ายานลำเลียงทางน้ำเพื่อปกปิดความจริง ของมัน คำว่า"แท็งค์" (tank) นั้นมาจากคำว่า "Water tank" ที่แปลว่าถังน้ำ
การพัฒนาในสงครามของมันเกิดขึ้นในสงครามโลกครั้งที่สองทำให้มันเป็นแนวคิดหลักของสงครามยานเกราะซึ่งอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ และเป็นบทบาทหลักในสงครามโลกครั้งที่ 2 สหภาพโซเวียตได้นำรถถังที-34 มาใช้ มันเป็นหนึ่งในรถถังที่ดีที่สุดในสงครามและเป็นต้นตำรับของรถถังหลัก เยอรมนีใช้การโจมตีสายฟ้าแลบ ซึ่งเป็นยุทธวิธีในการใช้กองกำลังรถถังเป็นหลักโดยมีปืนใหญ่และการยิงทางอากาศเข้าสนับสนุนเพื่อเจาะทะลุแนวป้องกันของศัตรู
ปัจจุบันรถถังนั้นไม่ปฏิบัติการเพียงลำพังนัก พวกมันจะรวมกันเป็นหน่วยซึ่งจะมีทหารราบให้การสนับสนุน ทหารเหล่านั้นจะทำงานร่วมกับรถสายพานลำเลียงพลหรือยานพาหนะต่อสู้ทหารราบ รถถังยังถูกใช้ร่วมกับการสอดแนมหรือการโจมตีภาคพื้นดินทางอากาศอีกด้วย
เนื่องมาจากความสามารถและความหลากประโยชน์ของรถถังประจัญบานที่ถูกมองว่าเป็นกุญแจสำคัญของกองทัพยุคใหม่[2] อย่างไรก็ตามในสงครามนอกกรอบได้นำข้อสงสัยมาสู่กองพลยานเกราะ[3] การพัฒนาและวิจัยรถถังในปัจจุบันพยายามจะให้รถถังเผชิญหน้ากับความท้าทายในศตวรรษที่ 21
วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ผู้ชายผิดสัญญา.. .คลายเครียด
วันหนึ่ง สมชายเกิดปวดท้องขนาดหนัก
จึงรีบวิ่งตรงเข้า ห้องน้ำสาธารณะ แต่..
โชคไม่เข้าข้าง เพราะทุกห้องเต็มเหยียด
แถมไม่มีทีท่าว่าใครจะออกมา
หลังจากที่เขาเดินกระวนกระวายอยู่หลายนาที
เผอิญมีหญิงสาวคนหนึ่งสังเกตเห็นเข้า
และเดาได้ว่าสมชายกำลังกลัดกลุ้มทุกข์หนัก เช่นใด
หญิงสาวจึงตรงเข้ามาหาและพูดด้วยความเห็นใจว่า
“คุณ คะ ๆ ห้องน้ำหญิงว่างอยู่ค่ะ”
“แต่ว่า…อ่า…” สมชายยังมีอาการ ลังเล
“เถอะค่ะ.. ฉันเห็นใจ ฉันยินดีจะเฝ้าหน้าห้องน้ำให้
ถ้าคุณยอมสัญญากับฉัน 3 ข้อ”
หญิงสาวยื่นเงื่อนไข
“ครับ ๆ ๆ ๆ…ผมตกลง สัญญาอะไร บ้างครับ”
สมชายรับปากด้วยความเต็มใจยิ่ง
เนื่องจากอะไรต่อมิอะไรในลำไส้
ใกล้ระเบิดออกมาให้ขายขี้หน้าอยู่รอมร่อ
“ข้อแรก คุณต้องรีบใช้ห้องน้ำให้เร็วที่สุด
เพราะฉันอยู่เฝ้าได้ไม่นาน
เดี๋ยวอาจจะมีสุภาพสตรีที่ต้องการใช้ห้องน้ำมาที่นี่
แล้วเธออาจจะตกใจได้ถ้าเจอคุณอยู่ในนั้น”
หญิงสาวเอ่ยขอคำสัญญาข้อแรก
“อูยยย…เร็ว ๆ ครับ รีบบอกข้อ 2 ข้อ 3 มาด่วนเลย”
“ข้อ 2 คุณต้องรักษาความสะอาด ห้ามทำให้เลอะเทอะสกปรก
เด็ดขาด พวกผู้ชายน่ะ ชอบทำห้องน้ำสกปรก”
“ข้อ 3 ต่อเลยครับ เร็ว ๆ ๆ ๆ”
“ข้อสุดท้ายสำคัญที่สุด.. คุณต้องสัญญาว่า
ห้ามกดปุ่มใด ๆ ทั้งสิ้นในห้องน้ำหญิง นอกเหนือจากปุ่มชักโครก”
คำสัญญาข้อสุดท้าย.. แม้จะทำสมชายค่อนข้างงง
ไม่เข้าใจว่าจะมีปุ่มอะไรในห้องน้ำหญิงนักหนา
แต่เขาก็รับคำเนื่องจากปวดท้องจนทนไม่ไหว
ว่าแล้วสมชายก็วิ่งพรวดเข้าไปในห้องน้ำ
หลังปลดทุกข์ อันหนักหน่วง เฮ้อ สบายตัวแล้ว
เขาจึงมีโอกาสได้พิจารณาห้องเล็ก ๆ โดยรอบ
ซึ่งพบว่าไม่มีอะไรต่างจากห้องน้ำชายสักเท่าไร
เว้นแต่.. ปุ่มแปลกประหลาดจำนวน 3 ปุ่ม
สีเขียว สีฟ้า และ สีแดงอยู่ที่ผนังห้องน้ำ!
แถมปรากฏอักษรย่อ
“น.อ.” ที่ปุ่มสีเขียว
“พ.ล.” ที่ปุ่มสีฟ้า และ
“ด.ผ.อ.น.ม.” ที่ปุ่มสีแดง
สมชายเริ่มเกิดความอยากรู้ อยากเห็น
เพราะห้องน้ำชายไม่ยักมีปุ่มพวกนี้
เขาจึงอดไม่ได้ที่จะละเมิดคำสัญญา
ลองกดปุ่มแรกที่เขียน ว่า “น.อ.”
ทันใด.. สิ่งน่าประ หลาดใจก็เกิดขึ้น เมื่อปรากฏมี
สายน้ำอุ่นพุ่งขึ้นฉีดล้างทำความสะอาดบั้นท้ายของเขา
อย่างนุ่มนวล แผ่วเบา และอุ่นสบาย
สมชายจึงรู้ว่า ที่แท้ “น.อ.” ย่อมา จากน้ำอุ่น!
ขณะนึกอิจฉาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องน้ำหญิง
เขาก็อดใจไม่ไหว ต้องลองกดปุ่มที่สองที่เขียนว่า
“พ.ล.” ทันใดนั้น..ก็มีสายลมพัดพุ่งตรงใส่บั้นท้ายเขา
เป่าให้แห้งอย่างนุ่มนวล แผ่วเบาและอุ่นสบายเช่นเคย
ทีนี้ สมชายจึงเข้าใจกระจ่างว่า “พ.ล.” แปลว่าพัดลม!
เมื่อสมชายเห็นความอัศจรรย์สุดยอดของบริการทันสมัย
ไปสองปุ่มแล้วเขาอดไม่ได้ที่ จะลองกดปุ่มสุดท้ายที่กำกับ
ด้วยอักษรย่อยาวที่สุดว่า “ด.ผ.อ.น.ม.”
พลางนึกว่าปุ่มนี้น่าจะเป็นทีเด็ดสุดยอด
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
กว่าสมชายจะรู้ตัวอีกที ก็ตอนได้สติที่โรงพยาบาล
ทันทีที่ลืมตาขึ้น เขารีบถามพยาบาลที่อยู่ตรงหน้าทันทีว่า…
“นี่มันที่ไหนกัน ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย เกิดอะไรขึ้น
ผมจำได้ว่าผมใช้บริการห้องน้ำหญิง แล้วผมมาอยู่นี่ได้ไง”
“ตอนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ
ที่คุณต้องมาอยู่นี่ก็เพราะคุณไปกดปุ่มสีแดงเข้าน่ะนะคะ”
เมื่อเห็นสมชายทำหน้างง พยาบาลสาวนางนั้นจึงเฉลยว่า
“ปุ่มสีแดงที่มีอักษรย่อว่า ‘ด.ผ.อ.น.ม.’
หมายถึง ‘ดึงผ้า อนามัย’ ไงคะ…
ฉันต้องแสดงความเสียใจด้วย
เพราะคุณหมอต่อให้คุณไม่สำเร็จค่ะ เครื่องมันดึงของคุณ
แล้วยัดลงท่อชักโครกไปแล้วล่ะ ทำใจนะคะ
จึงรีบวิ่งตรงเข้า ห้องน้ำสาธารณะ แต่..
โชคไม่เข้าข้าง เพราะทุกห้องเต็มเหยียด
แถมไม่มีทีท่าว่าใครจะออกมา
หลังจากที่เขาเดินกระวนกระวายอยู่หลายนาที
เผอิญมีหญิงสาวคนหนึ่งสังเกตเห็นเข้า
และเดาได้ว่าสมชายกำลังกลัดกลุ้มทุกข์หนัก เช่นใด
หญิงสาวจึงตรงเข้ามาหาและพูดด้วยความเห็นใจว่า
“คุณ คะ ๆ ห้องน้ำหญิงว่างอยู่ค่ะ”
“แต่ว่า…อ่า…” สมชายยังมีอาการ ลังเล
“เถอะค่ะ.. ฉันเห็นใจ ฉันยินดีจะเฝ้าหน้าห้องน้ำให้
ถ้าคุณยอมสัญญากับฉัน 3 ข้อ”
หญิงสาวยื่นเงื่อนไข
“ครับ ๆ ๆ ๆ…ผมตกลง สัญญาอะไร บ้างครับ”
สมชายรับปากด้วยความเต็มใจยิ่ง
เนื่องจากอะไรต่อมิอะไรในลำไส้
ใกล้ระเบิดออกมาให้ขายขี้หน้าอยู่รอมร่อ
“ข้อแรก คุณต้องรีบใช้ห้องน้ำให้เร็วที่สุด
เพราะฉันอยู่เฝ้าได้ไม่นาน
เดี๋ยวอาจจะมีสุภาพสตรีที่ต้องการใช้ห้องน้ำมาที่นี่
แล้วเธออาจจะตกใจได้ถ้าเจอคุณอยู่ในนั้น”
หญิงสาวเอ่ยขอคำสัญญาข้อแรก
“อูยยย…เร็ว ๆ ครับ รีบบอกข้อ 2 ข้อ 3 มาด่วนเลย”
“ข้อ 2 คุณต้องรักษาความสะอาด ห้ามทำให้เลอะเทอะสกปรก
เด็ดขาด พวกผู้ชายน่ะ ชอบทำห้องน้ำสกปรก”
“ข้อ 3 ต่อเลยครับ เร็ว ๆ ๆ ๆ”
“ข้อสุดท้ายสำคัญที่สุด.. คุณต้องสัญญาว่า
ห้ามกดปุ่มใด ๆ ทั้งสิ้นในห้องน้ำหญิง นอกเหนือจากปุ่มชักโครก”
คำสัญญาข้อสุดท้าย.. แม้จะทำสมชายค่อนข้างงง
ไม่เข้าใจว่าจะมีปุ่มอะไรในห้องน้ำหญิงนักหนา
แต่เขาก็รับคำเนื่องจากปวดท้องจนทนไม่ไหว
ว่าแล้วสมชายก็วิ่งพรวดเข้าไปในห้องน้ำ
หลังปลดทุกข์ อันหนักหน่วง เฮ้อ สบายตัวแล้ว
เขาจึงมีโอกาสได้พิจารณาห้องเล็ก ๆ โดยรอบ
ซึ่งพบว่าไม่มีอะไรต่างจากห้องน้ำชายสักเท่าไร
เว้นแต่.. ปุ่มแปลกประหลาดจำนวน 3 ปุ่ม
สีเขียว สีฟ้า และ สีแดงอยู่ที่ผนังห้องน้ำ!
แถมปรากฏอักษรย่อ
“น.อ.” ที่ปุ่มสีเขียว
“พ.ล.” ที่ปุ่มสีฟ้า และ
“ด.ผ.อ.น.ม.” ที่ปุ่มสีแดง
สมชายเริ่มเกิดความอยากรู้ อยากเห็น
เพราะห้องน้ำชายไม่ยักมีปุ่มพวกนี้
เขาจึงอดไม่ได้ที่จะละเมิดคำสัญญา
ลองกดปุ่มแรกที่เขียน ว่า “น.อ.”
ทันใด.. สิ่งน่าประ หลาดใจก็เกิดขึ้น เมื่อปรากฏมี
สายน้ำอุ่นพุ่งขึ้นฉีดล้างทำความสะอาดบั้นท้ายของเขา
อย่างนุ่มนวล แผ่วเบา และอุ่นสบาย
สมชายจึงรู้ว่า ที่แท้ “น.อ.” ย่อมา จากน้ำอุ่น!
ขณะนึกอิจฉาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องน้ำหญิง
เขาก็อดใจไม่ไหว ต้องลองกดปุ่มที่สองที่เขียนว่า
“พ.ล.” ทันใดนั้น..ก็มีสายลมพัดพุ่งตรงใส่บั้นท้ายเขา
เป่าให้แห้งอย่างนุ่มนวล แผ่วเบาและอุ่นสบายเช่นเคย
ทีนี้ สมชายจึงเข้าใจกระจ่างว่า “พ.ล.” แปลว่าพัดลม!
เมื่อสมชายเห็นความอัศจรรย์สุดยอดของบริการทันสมัย
ไปสองปุ่มแล้วเขาอดไม่ได้ที่ จะลองกดปุ่มสุดท้ายที่กำกับ
ด้วยอักษรย่อยาวที่สุดว่า “ด.ผ.อ.น.ม.”
พลางนึกว่าปุ่มนี้น่าจะเป็นทีเด็ดสุดยอด
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
กว่าสมชายจะรู้ตัวอีกที ก็ตอนได้สติที่โรงพยาบาล
ทันทีที่ลืมตาขึ้น เขารีบถามพยาบาลที่อยู่ตรงหน้าทันทีว่า…
“นี่มันที่ไหนกัน ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย เกิดอะไรขึ้น
ผมจำได้ว่าผมใช้บริการห้องน้ำหญิง แล้วผมมาอยู่นี่ได้ไง”
“ตอนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ
ที่คุณต้องมาอยู่นี่ก็เพราะคุณไปกดปุ่มสีแดงเข้าน่ะนะคะ”
เมื่อเห็นสมชายทำหน้างง พยาบาลสาวนางนั้นจึงเฉลยว่า
“ปุ่มสีแดงที่มีอักษรย่อว่า ‘ด.ผ.อ.น.ม.’
หมายถึง ‘ดึงผ้า อนามัย’ ไงคะ…
ฉันต้องแสดงความเสียใจด้วย
เพราะคุณหมอต่อให้คุณไม่สำเร็จค่ะ เครื่องมันดึงของคุณ
แล้วยัดลงท่อชักโครกไปแล้วล่ะ ทำใจนะคะ
อา..ฮากันเข้าไป...: อากิเน๊ะ & อาเจโปะ
อากิเน๊ะ & อาเจโปะ ฮา..ฮา...
กระเหรี่ยงหนุ่มคนนี้ หลังจากแต่งงานกับสาวชาวเขาเดียวกันได้ไม่นาน
เธอก็ตั้งท้องลูกคนแรก ประคองครรภ์อยู่บนยอดดอยจนใกล้คลอด
เธอก็รีบชวนเพื่อนสาวบ้านใกล้กันมาแอ๊ดมิทยังโรงพยาบาลพื้นราบ
เตรียมตัวและเตรียมพร้อม
เพื่อจะเป็นคุณแม่อย่างเต็มที่
เธอนอนครางโอดโอยอยู่จนคุณหมอบอกว่า ถึงเวลาแล้วท ี่จะต้องเข้าห้องคลอด
แต่ก่อนเข้าหมอก็แจ้งแก่เธอว่าต้องทำความสะอาดอวัยวะเพศก่อน
โดยการแว๊กซ์ หรือกำจัดขนบริเวณนั้นให้เหี้ยนเตียน
เมื่อเธอได้ยินเธอก็ให้ตกอกตกใจยิ่งนัก
แล้วก็ตั้งมั่นกับตัวเองว่ายังไงก็ไม่ให้หมอโกนแน่นอน
ขณะพยาบาลจับขึ้นขาหยั่ง เธอก็ส่ายหน้าแล้วเอามือปิดตรงนั้นไว้แน่น "
เราม่าโกเดะขาด " เธอพูดกับหมอเสียงแข็ง
" ไม่โกนไม่ได้นะคะ เพราะว่าบริเวณนั้นมันสกปรก แล้วอาจจะทำให้ลูกติดเชื้อ "
หมออธิบาย " ม่าโก ยางายเราก็ม่าโก "
คุณหมออธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเธอก็ยังไม่ยอม แต่แล้วจู่ๆ
เธอก็หาทางออกให้คุณหมอได้ ด้วยวิธีที่เธอคิดว่า
น่าจะเป็นการพบ! กันครึ่งทาง " แหวะ ๆ อากิเน๊ะ....แหวะ ๆ อากิเน๊ะ "
เธอพูดประโยคนี้กับหมอ แต่หมอฟังยังไงก็ไม่เข้าใจ
เพื่อนสาวของเธอที่มาด้วยก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะพูดไม่ชัดเหมือนกัน
ในที่สุด หมอก็บอกกับเพื่อนสาวของ
เธอว่าให้ไปตามสามีของหญิงคนนี้มาให้หน่อยเพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง
เพื่อนสาวของเธอรีบขึ้นดอยไปตามสามีเธอมา
เมื่อมาถึงคุณหมอก็บอกกับสามีเธอว่า
" นี่ช่วยอธิบายให้เมียเธอเข้าใจหน่อยว่ายังไงก็ต้องโกนเพราะถ้าไม่โกนเด็กอาจจะเป็นอันตราย"
สามีรีบหันไปพูดกับภรรยาเหมือนที่หมอบอก แต่คำตอบก็ได้กลับมา อย่างเดิม คือ "
แหวะ ๆ อากิเน๊ะ"
" ไหนบอกหมอซิว่าเมียเธอพูดว่ายังไง " หมอถาม
" เมียผมบอกว่าให้หมอแหวก ๆ แล้วเอากิ๊บเหน็บครับ "
หมอได้ยินก็สะดุ้งโหยง และบอกกลับไปว่า " เธอจะบ้าเหรอ!
ใครมาคลอดลูกก็ต้องโกนกันทั้งนั้น แล้วกิ๊บ ที่ไหนมันจะเก็บได้ทุกเส้นล่ะ "
สามีหันไปพูดกับภรรยา และก็ได้คำตอบกลับมาว่า " หวิ ๆ อาเจโปะ....หวิ ๆอาเจโปะ "
" อ่ะ...ไหนว่ามาซิ เมียเธอบอกว่ายังไง " หมอถาม
สามีอ้ำอึ้งไปชั่วครู่ แล้วก็บรรจง! แปลให้หมอฟังว่า
" เมียผมบอกว่า ถ้าหมอกลัวว่าจะเก็บไม่ได้ทุกเส้น ก็ให้หมอหวีๆ
แล้วก็เอาเจลโปะครับ "
กระเหรี่ยงหนุ่มคนนี้ หลังจากแต่งงานกับสาวชาวเขาเดียวกันได้ไม่นาน
เธอก็ตั้งท้องลูกคนแรก ประคองครรภ์อยู่บนยอดดอยจนใกล้คลอด
เธอก็รีบชวนเพื่อนสาวบ้านใกล้กันมาแอ๊ดมิทยังโรงพยาบาลพื้นราบ
เตรียมตัวและเตรียมพร้อม
เพื่อจะเป็นคุณแม่อย่างเต็มที่
เธอนอนครางโอดโอยอยู่จนคุณหมอบอกว่า ถึงเวลาแล้วท ี่จะต้องเข้าห้องคลอด
แต่ก่อนเข้าหมอก็แจ้งแก่เธอว่าต้องทำความสะอาดอวัยวะเพศก่อน
โดยการแว๊กซ์ หรือกำจัดขนบริเวณนั้นให้เหี้ยนเตียน
เมื่อเธอได้ยินเธอก็ให้ตกอกตกใจยิ่งนัก
แล้วก็ตั้งมั่นกับตัวเองว่ายังไงก็ไม่ให้หมอโกนแน่นอน
ขณะพยาบาลจับขึ้นขาหยั่ง เธอก็ส่ายหน้าแล้วเอามือปิดตรงนั้นไว้แน่น "
เราม่าโกเดะขาด " เธอพูดกับหมอเสียงแข็ง
" ไม่โกนไม่ได้นะคะ เพราะว่าบริเวณนั้นมันสกปรก แล้วอาจจะทำให้ลูกติดเชื้อ "
หมออธิบาย " ม่าโก ยางายเราก็ม่าโก "
คุณหมออธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเธอก็ยังไม่ยอม แต่แล้วจู่ๆ
เธอก็หาทางออกให้คุณหมอได้ ด้วยวิธีที่เธอคิดว่า
น่าจะเป็นการพบ! กันครึ่งทาง " แหวะ ๆ อากิเน๊ะ....แหวะ ๆ อากิเน๊ะ "
เธอพูดประโยคนี้กับหมอ แต่หมอฟังยังไงก็ไม่เข้าใจ
เพื่อนสาวของเธอที่มาด้วยก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะพูดไม่ชัดเหมือนกัน
ในที่สุด หมอก็บอกกับเพื่อนสาวของ
เธอว่าให้ไปตามสามีของหญิงคนนี้มาให้หน่อยเพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง
เพื่อนสาวของเธอรีบขึ้นดอยไปตามสามีเธอมา
เมื่อมาถึงคุณหมอก็บอกกับสามีเธอว่า
" นี่ช่วยอธิบายให้เมียเธอเข้าใจหน่อยว่ายังไงก็ต้องโกนเพราะถ้าไม่โกนเด็กอาจจะเป็นอันตราย"
สามีรีบหันไปพูดกับภรรยาเหมือนที่หมอบอก แต่คำตอบก็ได้กลับมา อย่างเดิม คือ "
แหวะ ๆ อากิเน๊ะ"
" ไหนบอกหมอซิว่าเมียเธอพูดว่ายังไง " หมอถาม
" เมียผมบอกว่าให้หมอแหวก ๆ แล้วเอากิ๊บเหน็บครับ "
หมอได้ยินก็สะดุ้งโหยง และบอกกลับไปว่า " เธอจะบ้าเหรอ!
ใครมาคลอดลูกก็ต้องโกนกันทั้งนั้น แล้วกิ๊บ ที่ไหนมันจะเก็บได้ทุกเส้นล่ะ "
สามีหันไปพูดกับภรรยา และก็ได้คำตอบกลับมาว่า " หวิ ๆ อาเจโปะ....หวิ ๆอาเจโปะ "
" อ่ะ...ไหนว่ามาซิ เมียเธอบอกว่ายังไง " หมอถาม
สามีอ้ำอึ้งไปชั่วครู่ แล้วก็บรรจง! แปลให้หมอฟังว่า
" เมียผมบอกว่า ถ้าหมอกลัวว่าจะเก็บไม่ได้ทุกเส้น ก็ให้หมอหวีๆ
แล้วก็เอาเจลโปะครับ "
ไร้กรอบ
***เคยได้ยินชื่อ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ ไหมครับ??
เขาเคยเป็นวิศวกรขององค์การอวกาศนาซา
ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ 20 กว่าปีก่อน
เคยได้รับรางวัลงานวิจัยที่ดีที่สุดระดับโลก
เกี่ยวกับเครื่องยนต์ไอพ่น
ตัดสินใจกลับเมืองไทยเพราะ
1.อยากดูแลพ่อแม่
2.ไม่อยากเป็นพลเมืองชั้นสองในบ้านพักคนชรา
3.อยากเที่ยว และ
4.ชอบกินอาหารอร่อย
เคยเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก่อนจะออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาของตัวเอง
ผมประทับใจบทสัม ภาษณ์ของ ดร.วรภัทรใน 'เสาร์สวัสดี'
ของ 'กรุงเทพธุรกิจ ' มาก
คนอะไรก็ไม่รู้ ชีวิตมันส์เป็นบ้า
ความคิดก็กวนเหลือหลาย
ตอนที่เขาเป็นอาจารย์
วิธีการสอนหนังสือของเขาแปลกกว่าคนอื่น
'ผมออกนอกกรอบตลอดเวลา'
เขาบอก
เขาเคยพาเด็กวิศวะไปที่ริมสระว่ายน้ำ
เรียนไปและดูนิสิตสาว ๆ ว่ายน้ำไป
ด้วยคาดว่าคงไปเรียนเรื่อง 'คลื่น'
ระหว่างท่าฟรีสไตล์ กับท่าผีเสื้อ
คลื่นที่เกิ ดขึ้นของท่าไหนถี่กว่ากัน
ระหว่างชุดทูพีซกับวันพีซ
แรงเสียดทานกับน้ำ ชุดไหนมากกว่ากัน
แนวการศึกษาน่าจะออกไปทำนองนี้
แต่ที่ชอบที่สุดคือตอนที่เขาออกข้อสอบ
ข้อสอบของเขาสั้นและกระชับมาก
'จงออกข้อสอบเอง พร้อมเฉลย'
โหย....เด็กวิดวะอึ้งกันทั้งห้อง
คำตอบส่วนใหญ่เป็นการตั้งโจทย์แบบง่ายๆ
เช่น ปั้นจั่นมีกี่ชนิด
ผลปรากฎว่าได้ศูนย์กันทั้งห้อง
เพราะเป็นคำตอบที่ไม่ได้แสดงความคิดที่ลึกซึ้ง สมกับที่เรียนมาทั้งเทอม
เหตุผลที่ดร.วรภัทรออกข้อสอบ ด้วยการให้นิสิตออกข้อสอบเอง เป็นเหตุผลที่ตรงกับใจผมมาก
'ชีวิตคนเราจะรอให้อาจารย์ตั้งโจทย์อย่างเดียวไม่ได้
ต้องหาโจทย์มาเอง คิดแล้วทำ
ถ้าผิดแล้วอาจารย์จะปรับให้'
เขามองว่าเด็กรุ่นใหม่ติดนิสัยเด็กกวดวิชา
รอคนคาบทุกอย่างมาป้อนให้ไม่รู้จักคิดเอง
'ถ้ารอและตั้งรับ
คุณก็เป็นพวกอีแร้ง
แต่พวกคุณแย่กว่า
เพราะเป็นแค่ลูกอีแร้ง
คือ รออาหารที่คนอื่นป้อนให้'
โหย....เจ็บ ผมเชื่อมานานแล้วว่า
ชีวิตของคนเรา
เป็นข้อสอบอัตนัย
ที่ต้องตั้งโจทย์เอง และตอบเอง
ไม่ใช่ข้อสอบปรนัย
ที่มีคนตั้งโจทย์ และมีคำตอบเป็นทางเลือก ก-ข-ค-ง
ถ้าใครที่คุ้นกับ 'ชีวิตปรนัย' ที่มีคนตั้งโจทย์ให้และเสนอทางเลือก
1-2-3-4 คนคนนั้นชีวิตจะไม่ก้าวหน้า เพราะต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลาติดกับ
'กรอบ'
ที่คนอื่นสร้างให้
ไม่เหมือนกับคนที่รู้จักคิด และตั้งคำถามเอง
เรื่องการตั้งคำถามกับชีวิต เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าลืมว่า
เพราะมี 'คำถาม' จึงมี 'คำตอบ'
เมื่อมี 'คำตอบ' เราจึงเลือกเดิน
พูดถึงเรื่องการตั้งคำถาม ผมนึกถึง 'โสเครติส' เขาเป็นนักปรัชญาเอกของโลก
ที่สอนลูกศิษย์ด้วยการสนทนา ตั้งคำถามให้ลูกศิษย์ตอบ
สร้างองค์ความรู้จาก 'คำถาม' กลยุทธ์ของ 'โสเครติส' ในการสอน คือ
ไม่ให้ความเห็นใดๆ แก่นักเรียน และทำลายความมั่นใจของ นักเรียนที่เชื่อว่าตนเองรู้
'โสเครติส' เชื่อว่าเมื่อเด็กตระหนักใน
'ความไม่รู้' ของตนเอง
เขาจะเริ่มต้นแสวงหา 'ความรู้'
แต่ถ้าเด็กยังเชื่อมั่นว่าตนเองมี 'ความรู้' เขาก็จะไม่แสวงหา 'ความรู้ '
การตั้งคำถามของโสเครติสจึงมีเป้าหมาย
โจมตีและทำลายความเชื่อมั่นในภูมิความรู้ของนักเรียน
เป็นกลยุทธ์เท 'น้ำ' ให้หมดจากแก้ว
เมื่อแก้วไม่มีน้ำแล้ว จึงเริ่มให้เขาเท 'น้ำ' ใหม่ ใส่แก้วด้วยมือของเขาเอง
'น้ำ' ที่ลูกศิษย์แต่ละคนเทลงแก้วด้วยมือตัวเองมาจาก
'คำตอบ' ที่เขาค้นคิดขึ้นมาเอง
'คำตอบ' จาก 'คำถาม' ของ 'โสเครติส'
'โสเครติส' นิยามศัพท์คำว่า 'คนฉลาด' และ 'คนโง่' ได้อย่างน่าสนใจ
'คนฉลาด' ในมุมมองของ
'โสเครติส' นั้นไม่ใช่คนที่รู้ทุกเรื่องแต่
'คนฉลาด' คือคนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้
ส่วน
'คนโง่' นั้น คือคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้
แต่ทำตัวราวกับเป็นผู้รู้
***ไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้
ผมยังมีความภาคภูมิใจใน 'ความรู้'
ของตนเอง แต่พออ่านถึงบรรทัดนี้
ทำไมผมเริ่มรู้สึกว่า
ตัวเองไม่รู้อะไรเลย***
ลองหาความรู้ใหม่ ๆ ให้กับตัวคุณเอง
เขาเคยเป็นวิศวกรขององค์การอวกาศนาซา
ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ 20 กว่าปีก่อน
เคยได้รับรางวัลงานวิจัยที่ดีที่สุดระดับโลก
เกี่ยวกับเครื่องยนต์ไอพ่น
ตัดสินใจกลับเมืองไทยเพราะ
1.อยากดูแลพ่อแม่
2.ไม่อยากเป็นพลเมืองชั้นสองในบ้านพักคนชรา
3.อยากเที่ยว และ
4.ชอบกินอาหารอร่อย
เคยเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก่อนจะออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาของตัวเอง
ผมประทับใจบทสัม ภาษณ์ของ ดร.วรภัทรใน 'เสาร์สวัสดี'
ของ 'กรุงเทพธุรกิจ ' มาก
คนอะไรก็ไม่รู้ ชีวิตมันส์เป็นบ้า
ความคิดก็กวนเหลือหลาย
ตอนที่เขาเป็นอาจารย์
วิธีการสอนหนังสือของเขาแปลกกว่าคนอื่น
'ผมออกนอกกรอบตลอดเวลา'
เขาบอก
เขาเคยพาเด็กวิศวะไปที่ริมสระว่ายน้ำ
เรียนไปและดูนิสิตสาว ๆ ว่ายน้ำไป
ด้วยคาดว่าคงไปเรียนเรื่อง 'คลื่น'
ระหว่างท่าฟรีสไตล์ กับท่าผีเสื้อ
คลื่นที่เกิ ดขึ้นของท่าไหนถี่กว่ากัน
ระหว่างชุดทูพีซกับวันพีซ
แรงเสียดทานกับน้ำ ชุดไหนมากกว่ากัน
แนวการศึกษาน่าจะออกไปทำนองนี้
แต่ที่ชอบที่สุดคือตอนที่เขาออกข้อสอบ
ข้อสอบของเขาสั้นและกระชับมาก
'จงออกข้อสอบเอง พร้อมเฉลย'
โหย....เด็กวิดวะอึ้งกันทั้งห้อง
คำตอบส่วนใหญ่เป็นการตั้งโจทย์แบบง่ายๆ
เช่น ปั้นจั่นมีกี่ชนิด
ผลปรากฎว่าได้ศูนย์กันทั้งห้อง
เพราะเป็นคำตอบที่ไม่ได้แสดงความคิดที่ลึกซึ้ง สมกับที่เรียนมาทั้งเทอม
เหตุผลที่ดร.วรภัทรออกข้อสอบ ด้วยการให้นิสิตออกข้อสอบเอง เป็นเหตุผลที่ตรงกับใจผมมาก
'ชีวิตคนเราจะรอให้อาจารย์ตั้งโจทย์อย่างเดียวไม่ได้
ต้องหาโจทย์มาเอง คิดแล้วทำ
ถ้าผิดแล้วอาจารย์จะปรับให้'
เขามองว่าเด็กรุ่นใหม่ติดนิสัยเด็กกวดวิชา
รอคนคาบทุกอย่างมาป้อนให้ไม่รู้จักคิดเอง
'ถ้ารอและตั้งรับ
คุณก็เป็นพวกอีแร้ง
แต่พวกคุณแย่กว่า
เพราะเป็นแค่ลูกอีแร้ง
คือ รออาหารที่คนอื่นป้อนให้'
โหย....เจ็บ ผมเชื่อมานานแล้วว่า
ชีวิตของคนเรา
เป็นข้อสอบอัตนัย
ที่ต้องตั้งโจทย์เอง และตอบเอง
ไม่ใช่ข้อสอบปรนัย
ที่มีคนตั้งโจทย์ และมีคำตอบเป็นทางเลือก ก-ข-ค-ง
ถ้าใครที่คุ้นกับ 'ชีวิตปรนัย' ที่มีคนตั้งโจทย์ให้และเสนอทางเลือก
1-2-3-4 คนคนนั้นชีวิตจะไม่ก้าวหน้า เพราะต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลาติดกับ
'กรอบ'
ที่คนอื่นสร้างให้
ไม่เหมือนกับคนที่รู้จักคิด และตั้งคำถามเอง
เรื่องการตั้งคำถามกับชีวิต เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าลืมว่า
เพราะมี 'คำถาม' จึงมี 'คำตอบ'
เมื่อมี 'คำตอบ' เราจึงเลือกเดิน
พูดถึงเรื่องการตั้งคำถาม ผมนึกถึง 'โสเครติส' เขาเป็นนักปรัชญาเอกของโลก
ที่สอนลูกศิษย์ด้วยการสนทนา ตั้งคำถามให้ลูกศิษย์ตอบ
สร้างองค์ความรู้จาก 'คำถาม' กลยุทธ์ของ 'โสเครติส' ในการสอน คือ
ไม่ให้ความเห็นใดๆ แก่นักเรียน และทำลายความมั่นใจของ นักเรียนที่เชื่อว่าตนเองรู้
'โสเครติส' เชื่อว่าเมื่อเด็กตระหนักใน
'ความไม่รู้' ของตนเอง
เขาจะเริ่มต้นแสวงหา 'ความรู้'
แต่ถ้าเด็กยังเชื่อมั่นว่าตนเองมี 'ความรู้' เขาก็จะไม่แสวงหา 'ความรู้ '
การตั้งคำถามของโสเครติสจึงมีเป้าหมาย
โจมตีและทำลายความเชื่อมั่นในภูมิความรู้ของนักเรียน
เป็นกลยุทธ์เท 'น้ำ' ให้หมดจากแก้ว
เมื่อแก้วไม่มีน้ำแล้ว จึงเริ่มให้เขาเท 'น้ำ' ใหม่ ใส่แก้วด้วยมือของเขาเอง
'น้ำ' ที่ลูกศิษย์แต่ละคนเทลงแก้วด้วยมือตัวเองมาจาก
'คำตอบ' ที่เขาค้นคิดขึ้นมาเอง
'คำตอบ' จาก 'คำถาม' ของ 'โสเครติส'
'โสเครติส' นิยามศัพท์คำว่า 'คนฉลาด' และ 'คนโง่' ได้อย่างน่าสนใจ
'คนฉลาด' ในมุมมองของ
'โสเครติส' นั้นไม่ใช่คนที่รู้ทุกเรื่องแต่
'คนฉลาด' คือคนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้
ส่วน
'คนโง่' นั้น คือคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้
แต่ทำตัวราวกับเป็นผู้รู้
***ไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้
ผมยังมีความภาคภูมิใจใน 'ความรู้'
ของตนเอง แต่พออ่านถึงบรรทัดนี้
ทำไมผมเริ่มรู้สึกว่า
ตัวเองไม่รู้อะไรเลย***
ลองหาความรู้ใหม่ ๆ ให้กับตัวคุณเอง
แฟนเอ็งยังบริสุทธิ์
แฟนเอ็งยังบริสุทธิ์
เรื่องมีอยู่ว่า
ต้นพาแฟนมานอนที่บ้าน
ด้วยความที่ไม่ประสาในเรื่องนี้จึงโทรปรึกษากับพี่แม็ก ผู้ช่ำชอง
ต้น: ฮัลโหล พี่แม็ก ผมพาแฟนมานอนที่บ้าน แต่ผมทำไม่เป็นน่ะ
ผมไม่รู้ว่าต้องเริ่มยังไง
พี่แม็ก: เอ็งนี้ไร้เดียงสาจิงๆให้ตาย เอาง่ายๆแกนอนข้างบน
แล้วให้แฟนนอนข้างล่าง แค่นี้ก็เรียบร้อย
จากนั้นต้นก็นอนบนเตียงแล้วปูเสื่อให้แฟนมันนอนที่พื้นข้างเตียง
เวลาผ่านไปนานไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงออกจากห้องมาเข้าห้องน้ำ
แฟนต้นปิดประตูล็อกห้องด้วยความเซ็ง เจ้าต้นจึงเข้าห้องไม่ได้
จึงโทรปรึกษาพี่แม็กอีก
ต้น: ฮัลโหลพี่แม็ก ผมเข้าไม่ได้อ่ะพี่ทำไงดี
พี่แม็ก: เอ็ง ค่อยๆเอาหัวดันเข้าไปซิ ไอ้เซ่อ
เจ้าต้นก็เอาหัวดันประตูอยู่นาน แต่ก็เข้าไม่ได้
ต้น: ฮัลโหลพี่แม็ก พยายามดันแล้ว เข้าไม่ได้อยู่ดีอ่ะพี่
พี่แม็ก: ถ้างั้นเอ็งค่อยๆกระแทก กระแทกเข้าไป
ต้นเอาหัวกระแทกประตูโป๊กๆ .......................... หัวแตก!
ต้น: ฮัลโหลพี่แม็ก เลือดออกแล้ว
พี่แม็ก: เฮ้ย!!!!!ต้น ต้น ....... พี่ดีใจด้วยโว๊ย .............
แฟนเอ็งยังบริสุทธิเว้ย
เรื่องมีอยู่ว่า
ต้นพาแฟนมานอนที่บ้าน
ด้วยความที่ไม่ประสาในเรื่องนี้จึงโทรปรึกษากับพี่แม็ก ผู้ช่ำชอง
ต้น: ฮัลโหล พี่แม็ก ผมพาแฟนมานอนที่บ้าน แต่ผมทำไม่เป็นน่ะ
ผมไม่รู้ว่าต้องเริ่มยังไง
พี่แม็ก: เอ็งนี้ไร้เดียงสาจิงๆให้ตาย เอาง่ายๆแกนอนข้างบน
แล้วให้แฟนนอนข้างล่าง แค่นี้ก็เรียบร้อย
จากนั้นต้นก็นอนบนเตียงแล้วปูเสื่อให้แฟนมันนอนที่พื้นข้างเตียง
เวลาผ่านไปนานไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงออกจากห้องมาเข้าห้องน้ำ
แฟนต้นปิดประตูล็อกห้องด้วยความเซ็ง เจ้าต้นจึงเข้าห้องไม่ได้
จึงโทรปรึกษาพี่แม็กอีก
ต้น: ฮัลโหลพี่แม็ก ผมเข้าไม่ได้อ่ะพี่ทำไงดี
พี่แม็ก: เอ็ง ค่อยๆเอาหัวดันเข้าไปซิ ไอ้เซ่อ
เจ้าต้นก็เอาหัวดันประตูอยู่นาน แต่ก็เข้าไม่ได้
ต้น: ฮัลโหลพี่แม็ก พยายามดันแล้ว เข้าไม่ได้อยู่ดีอ่ะพี่
พี่แม็ก: ถ้างั้นเอ็งค่อยๆกระแทก กระแทกเข้าไป
ต้นเอาหัวกระแทกประตูโป๊กๆ .......................... หัวแตก!
ต้น: ฮัลโหลพี่แม็ก เลือดออกแล้ว
พี่แม็ก: เฮ้ย!!!!!ต้น ต้น ....... พี่ดีใจด้วยโว๊ย .............
แฟนเอ็งยังบริสุทธิเว้ย
วิชาเพศศึกษา 18+ ( ขำๆ )
ครูสมศรีเป็นครูฝึกสอนและได้รับหน้าที่สอนวิชาเพศศึกษาแก่เด็กนักเรียนเล็กๆ
ซึ่งทำให้ครูสมศรีหนักใจเกี่ยวกับการสอนวิชานี้มาก
ในคาบแรกที่สอนครูสมศรีจึงวาดรูปหน้าอกผู้หญิง แล้วถามนักเรียนว่า
" ใครรู้บ้างว่านี่คืออะไร " เด็กหญิงจอยรีบยกมือและตอบด้วยความมั่นใจว่า
" นมค่ะ และ แม่หนูมีสองอัน " ครูสมศรีจึงบอกว่า " ถูกต้อง เก่งมากจ้ะ "
หลังจากนั้นเธอจึงทำการวาดจู๋ของผู้ชายแล้วเอ่ยขึ้นว่า " ใครตอบได้บ้าง ว่านี่คืออะไร "
เด็กชายบอยยกมือขึ้น แล้วตอบด้วยความมั่นใจว่า " เรียกว่าจู๋ ครับ และพ่อผมก็มีสองอัน "
ครูสมศรีงงและบอกว่า " ฮ้า ! มันจะเป็นไปได้ยังไง มีสองอัน "
เด็กชายบอยจึงตอบว่า " จริงซีครับ ก็อันเล็ก พ่อผมเอาไว้ฉี่ ส่วนอันใหญ่ พ่อผมเอาไว้แปรงฟันให้แม่ครับ "
ซึ่งทำให้ครูสมศรีหนักใจเกี่ยวกับการสอนวิชานี้มาก
ในคาบแรกที่สอนครูสมศรีจึงวาดรูปหน้าอกผู้หญิง แล้วถามนักเรียนว่า
" ใครรู้บ้างว่านี่คืออะไร " เด็กหญิงจอยรีบยกมือและตอบด้วยความมั่นใจว่า
" นมค่ะ และ แม่หนูมีสองอัน " ครูสมศรีจึงบอกว่า " ถูกต้อง เก่งมากจ้ะ "
หลังจากนั้นเธอจึงทำการวาดจู๋ของผู้ชายแล้วเอ่ยขึ้นว่า " ใครตอบได้บ้าง ว่านี่คืออะไร "
เด็กชายบอยยกมือขึ้น แล้วตอบด้วยความมั่นใจว่า " เรียกว่าจู๋ ครับ และพ่อผมก็มีสองอัน "
ครูสมศรีงงและบอกว่า " ฮ้า ! มันจะเป็นไปได้ยังไง มีสองอัน "
เด็กชายบอยจึงตอบว่า " จริงซีครับ ก็อันเล็ก พ่อผมเอาไว้ฉี่ ส่วนอันใหญ่ พ่อผมเอาไว้แปรงฟันให้แม่ครับ "
พี่เขยกับน้องเมีย ......(เรื่องจากชีวิตจริง อุทาหรณ์สอนหญิง)
พี่เขยกับน้องเมีย ......(เรื่องจากชีวิตจริง อุทาหรณ์สอนหญิง)
ดิฉันแต่งงานเมื่อ พ.ศ. 2534
และได้อยู่กินกับสามีด้วยดีจนมีลูกสาวและลูกชายอย่าง ละคน
ชีวิตก็มีความสุขดี มีรถยนต์ มีบ้านในเนื้อที่ 24ตารางวาบนถนนแจ้งวัฒนะ
ดิฉันมีน้องสาว 1คนเค้าไปได้สามีที่มีเมียหลวงอยู่แล้ว
ตอนหลังเค้าเลิกกัน เขามาหาดิฉันดิฉันก็ให้น้องสาวมาอยู่ด้วยกัน
แต่ว่ามาคนเดียวนะคะส่วนลูกๆอยู่กับสามีเขา
น้องสาวมาอยู่กับดิฉันได้หลายปีจนมาวันหนึ่งหัวใจดิฉ ันเกือบสลาย
คือ เรื่องของเรื่อง...สามีดิฉันจะเลิกงานเวลา 24.00 น.และในเวลา 00.45 น.
ดิฉันได้ยินเสียงรถของสามีมาถึงบ้านแล้ว แต่ดิฉันง่วงมาก ลุกไม่ไหว
ก็หลับต่อ ...ต่อมาก็ตกใจตื่น ตอน ตี 2 กว่าๆ นิดหน่อย ไม่เห็นสามีนอนอยู่
ลุกขึ้นไปดูที่ห้องลูกๆก็ไม่มี ในห้องน้ำก็ไม่มี
ใจหายวาบ ....รีบลงมาที่โซฟาข้างล่าง..ก็ไม่มี
รถยนต์ก็จอดอยู่แต่สามีดิฉันไปไหน
มองที่ประตูบ้านก็ใส่กลอนอยู่
ดิฉันหัวใจเต้นแรงมาก .....
เหลืออยู่ห้องเดียวคือ.....ห้องน้องสาว..ของดิฉัน
ดิฉันเดินไปเปิดไฟจนสว่างทั่วบ้าน
หัวใจเต้นแรงผิดปกติ....อยากจะเป็นลม
แล้วมองไปที่ห้องของน้องสาวแล้วพยายามตั้งสติ..คิดใน ใจว่า
ถ้า...เขาเดินออกมาจากห้องนั้นดิฉันจะทำอย่างไร ?
ดิฉันนั่งมองประตูห้องของน้องสาว...น้ำตาก็ไหล
นึกในใจ ว่า... จะทำอย่างไร ?
เราจะทำอย่างไรดี ....
ลูกก็ยังเล็ก ดิฉันตัดสินใจ ? เลิก?
ยังไงก็ต้องเลิก ....!!
แล้วให้เขาไปอยู่กับน้องสาวที่อื่น..ส่วนดิฉันจะอยู่ กับลูกๆ
คือจะยกสามีให้น้องสาวไป... ถ้าเขารักกัน
รอจนประมาณ ตี 3 กว่าๆ
ดิฉันนึกในใจว่าถ้าดิฉันโทรฯเข้ามือถือเขาแล้วเสียงโ ทรศัพท์ก็ต้องดังออกมาจากห้องน้องสาวแน่ๆเ ลย
เป็นไง...เป็นกัน ดิฉันตัดสินใจโทรฯแล้วก็ติดจริงๆค่ะ
ใจดิฉันเต้นแรง...จนเกือบหลุดออกมาข้างนอก
ดิฉันยืนอยู่หน้าห้องน้องสาว....แต่เอ๊ะไม่มีเสียงโท รศัพท์ดังออกมาจากในห้องของน้องสาวเลย แต่โทรฯ ติด แล้วเขาอยู่ไหน ??
ฮัลโหล ? เธออยู่ไหน ? ดิฉันตวาด
.
.
.
.
.
ก็นอนอยู่ในรถสิ ว ะ..... อีบ้า
รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้กู จะกลับดึก...ยังเสือกล็อคประตู อีก ยุงก็กัด.... ชิบหาย
ดิฉันแต่งงานเมื่อ พ.ศ. 2534
และได้อยู่กินกับสามีด้วยดีจนมีลูกสาวและลูกชายอย่าง ละคน
ชีวิตก็มีความสุขดี มีรถยนต์ มีบ้านในเนื้อที่ 24ตารางวาบนถนนแจ้งวัฒนะ
ดิฉันมีน้องสาว 1คนเค้าไปได้สามีที่มีเมียหลวงอยู่แล้ว
ตอนหลังเค้าเลิกกัน เขามาหาดิฉันดิฉันก็ให้น้องสาวมาอยู่ด้วยกัน
แต่ว่ามาคนเดียวนะคะส่วนลูกๆอยู่กับสามีเขา
น้องสาวมาอยู่กับดิฉันได้หลายปีจนมาวันหนึ่งหัวใจดิฉ ันเกือบสลาย
คือ เรื่องของเรื่อง...สามีดิฉันจะเลิกงานเวลา 24.00 น.และในเวลา 00.45 น.
ดิฉันได้ยินเสียงรถของสามีมาถึงบ้านแล้ว แต่ดิฉันง่วงมาก ลุกไม่ไหว
ก็หลับต่อ ...ต่อมาก็ตกใจตื่น ตอน ตี 2 กว่าๆ นิดหน่อย ไม่เห็นสามีนอนอยู่
ลุกขึ้นไปดูที่ห้องลูกๆก็ไม่มี ในห้องน้ำก็ไม่มี
ใจหายวาบ ....รีบลงมาที่โซฟาข้างล่าง..ก็ไม่มี
รถยนต์ก็จอดอยู่แต่สามีดิฉันไปไหน
มองที่ประตูบ้านก็ใส่กลอนอยู่
ดิฉันหัวใจเต้นแรงมาก .....
เหลืออยู่ห้องเดียวคือ.....ห้องน้องสาว..ของดิฉัน
ดิฉันเดินไปเปิดไฟจนสว่างทั่วบ้าน
หัวใจเต้นแรงผิดปกติ....อยากจะเป็นลม
แล้วมองไปที่ห้องของน้องสาวแล้วพยายามตั้งสติ..คิดใน ใจว่า
ถ้า...เขาเดินออกมาจากห้องนั้นดิฉันจะทำอย่างไร ?
ดิฉันนั่งมองประตูห้องของน้องสาว...น้ำตาก็ไหล
นึกในใจ ว่า... จะทำอย่างไร ?
เราจะทำอย่างไรดี ....
ลูกก็ยังเล็ก ดิฉันตัดสินใจ ? เลิก?
ยังไงก็ต้องเลิก ....!!
แล้วให้เขาไปอยู่กับน้องสาวที่อื่น..ส่วนดิฉันจะอยู่ กับลูกๆ
คือจะยกสามีให้น้องสาวไป... ถ้าเขารักกัน
รอจนประมาณ ตี 3 กว่าๆ
ดิฉันนึกในใจว่าถ้าดิฉันโทรฯเข้ามือถือเขาแล้วเสียงโ ทรศัพท์ก็ต้องดังออกมาจากห้องน้องสาวแน่ๆเ ลย
เป็นไง...เป็นกัน ดิฉันตัดสินใจโทรฯแล้วก็ติดจริงๆค่ะ
ใจดิฉันเต้นแรง...จนเกือบหลุดออกมาข้างนอก
ดิฉันยืนอยู่หน้าห้องน้องสาว....แต่เอ๊ะไม่มีเสียงโท รศัพท์ดังออกมาจากในห้องของน้องสาวเลย แต่โทรฯ ติด แล้วเขาอยู่ไหน ??
ฮัลโหล ? เธออยู่ไหน ? ดิฉันตวาด
.
.
.
.
.
ก็นอนอยู่ในรถสิ ว ะ..... อีบ้า
รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้กู จะกลับดึก...ยังเสือกล็อคประตู อีก ยุงก็กัด.... ชิบหาย
วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
จัดอันดับประเทศที่ประชากรหน้าตาดี
WOW !!!~ ประเทศที่มีประชากรหน้าตาดีที่สุดในโลก.สำรวจมาแล้ววว~(มีไทยด้วย)
จากประชากร ค่าเฉลี่ย จากชายและหญิง คิดเป็น%
แล้วจัดอันดับดังนี้
อันดับ 1 อังกฤษ
อันดับ 2 อเมริกัน
อันดับ 3 เยอรมัน
อันดับ 4 สวีเดน
อันดับ 5 กรีซ
อันดับ 6 สวีสเซอร์แลนด์
อันดับ 7 ตุรกี
อันดับ 8 อิตาลี
อันดับ 9 ไต้หวัน
อันดับ 10 บราซิล
อันดับ 11 ญี่ปุ่น
อันดับ 12 ไทย (ตบมือให้ดังๆ ได้อยู่ในประเทศประชากรหน้าตาดีเป็นอันดับที่12 ^^v)
อันดับ 13 เวเนซูเอล่า
อันดับ 14 ฮ่องกง
อันดับ 15 จีน
เกณฑ์การวัดความหน้าตาดีคือ
1.ใบหน้า โครงหน้า ได้รูป สวย สมบูรณ์
2. ดวงตาเปรียบดังอัลมอนด์
3. ผิวพรรณสวยงาม
4. จมูกโด่งเป็นแท่งสันยาวสวยงดงาม
5. รูปร่างดีสมบูรณแบบ
6. ความมีเสนห์ ดึงดูด และ รังสีออร่า ที่แปล่งประกายออกมา
7.ไม่เคยผ่านการศัลยกรรม หน้าตาดีโดยธรรมชาติ แต่กำเนิด
ประชากรในภูมิภาคเอเชีย
จัดอันดับประเทศที่มีประชากรที่หน้าตาดี ในภูมิภาคเอเชีย
อันดับ 1 ไต้หวัน
อันดับ 2 ญี่ปุ่น
อันดับ 3 ไทย (วู้ว~ คนไทยไม่ธรรมดา~)
อันดับ 4 ฮ่องกง
อันดับ 5 จีน
อันดับ 6 เกาหลี
อันดับ 7 เวียดนาม
อันดับ 8 ฟิลิปปินส์
อันดับ 9 สิงค์โปร์
อันดับ 10 มาเลเซีย
ทดสอบความโง่
แบบทดสอบความโง่
เรามาทำแบบทดสอบความโง่กันเถอะ
(ใคร ตอบถูกหมดคงไอคิวสัก 250) ข้างล่างนี้คือคำถาม 4 ข้อ คุณต้องตอบคำถามเหล่านี้ ในทันทีที่อ่านจบ ห้ามใช้เวลานาน และห้ามแอบดูคำตอบก่อน มาลอง พิสูจน์ดูว่าคุณฉลาดแค่ไหน
(ขำ ขำ คลายเครียดนะค่ะเพื่อน)
คำถาม แรก
คณิตศาสตร์แสนซน หมายเหตุ: กรุณาใช้สมองคิด
อย่าทด หรือกดเครื่องคิดเลขล่ะ ตั้งด้วย 1000 บวก 40 เข้าไป
จากนั้นบวก ด้วย 1000 อีกที แล้วก็บวกด้วย 30
แล้วบวกด้วย 1000 แล้วบวก 20 จากนั้น บวก 1000 อีกที
แล้วก็บวก 10
คำตอบคือ ?
ได้ 5000 หรือ? คำตอบที่ถูกคือ 4100 ไม่เชื่อเหรอ
ลองกดเครื่องคิดเลขดู สิ ดูท่าวันนี้ไม่ใช่วันของคุณแหงๆ
คำถามข้อที่สอง
คุณเข้าร่วมในการแข่งขัน
คุณแซงคนที่ สอง
ตำแหน่งของคุณตอนนี้คือ?
คำตอบ
ถ้าคุณตอบว่าคุณอยู่ อันดับแรก คุณผิดอย่างแรง!
ถ้าคุณแซงคนที่สอง คุณก็อยู่ในอันดับของ เขา
คุณก็อยู่ที่สองสิ! ทิ้งสมองไว้ที่บ้านหรือจ๊ะ?
คำถามข้อที่สาม
ถ้าคุณแซง คนสุดท้ายล่ะ
คุณจะอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่?
คำตอบ ถ้า คุณตอบว่าอยู่อันดับรองโหล่ คุณก็ผิดละ
อีกทีนึง บอกหน่อย คุณ จะแซงคนสุดท้ายได้ยังไง?
คายปัญญาทิ้งไปหมดแล้วฤๅ?
มาถึงคำถามข้อสุดท้ายแล้วมั้ง ใช่มะ?
พ่อของ Mary มีลูกสาว 5 คน: 1. Nana, 2. Nene, 3.Nini, 4. Nono.
คนสุดท้องชื่อว่าอะไร?
คำตอบ Nunu?
ไม่ มันผิดแน่ๆ คนสุดท้ายชื่อ Mary สิ
ลอง กลับไปอ่านคำถามอีกครั้ง
จขกท. ได้เต็มครับบ บ
55555555 5
เรามาทำแบบทดสอบความโง่กันเถอะ
(ใคร ตอบถูกหมดคงไอคิวสัก 250) ข้างล่างนี้คือคำถาม 4 ข้อ คุณต้องตอบคำถามเหล่านี้ ในทันทีที่อ่านจบ ห้ามใช้เวลานาน และห้ามแอบดูคำตอบก่อน มาลอง พิสูจน์ดูว่าคุณฉลาดแค่ไหน
(ขำ ขำ คลายเครียดนะค่ะเพื่อน)
คำถาม แรก
คณิตศาสตร์แสนซน หมายเหตุ: กรุณาใช้สมองคิด
อย่าทด หรือกดเครื่องคิดเลขล่ะ ตั้งด้วย 1000 บวก 40 เข้าไป
จากนั้นบวก ด้วย 1000 อีกที แล้วก็บวกด้วย 30
แล้วบวกด้วย 1000 แล้วบวก 20 จากนั้น บวก 1000 อีกที
แล้วก็บวก 10
คำตอบคือ ?
ได้ 5000 หรือ? คำตอบที่ถูกคือ 4100 ไม่เชื่อเหรอ
ลองกดเครื่องคิดเลขดู สิ ดูท่าวันนี้ไม่ใช่วันของคุณแหงๆ
คำถามข้อที่สอง
คุณเข้าร่วมในการแข่งขัน
คุณแซงคนที่ สอง
ตำแหน่งของคุณตอนนี้คือ?
คำตอบ
ถ้าคุณตอบว่าคุณอยู่ อันดับแรก คุณผิดอย่างแรง!
ถ้าคุณแซงคนที่สอง คุณก็อยู่ในอันดับของ เขา
คุณก็อยู่ที่สองสิ! ทิ้งสมองไว้ที่บ้านหรือจ๊ะ?
คำถามข้อที่สาม
ถ้าคุณแซง คนสุดท้ายล่ะ
คุณจะอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่?
คำตอบ ถ้า คุณตอบว่าอยู่อันดับรองโหล่ คุณก็ผิดละ
อีกทีนึง บอกหน่อย คุณ จะแซงคนสุดท้ายได้ยังไง?
คายปัญญาทิ้งไปหมดแล้วฤๅ?
มาถึงคำถามข้อสุดท้ายแล้วมั้ง ใช่มะ?
พ่อของ Mary มีลูกสาว 5 คน: 1. Nana, 2. Nene, 3.Nini, 4. Nono.
คนสุดท้องชื่อว่าอะไร?
คำตอบ Nunu?
ไม่ มันผิดแน่ๆ คนสุดท้ายชื่อ Mary สิ
ลอง กลับไปอ่านคำถามอีกครั้ง
จขกท. ได้เต็มครับบ บ
55555555 5
วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ดินดีแหน อ่านขำๆ นะครับ ( ต้อง ผวนนะ )
ดินแดนหนึ่ง เลื่องชื่อ คือดีหง
ชายก็คง ชอบนักเชียว เที่ยวดีหอย
มีมากมาย ให้เลือกหา ถ้าอยากซอย
อย่ามัวคอย รีบมา ชักช้าไย
มาดีหม ดมเล่น เป็นความสุข
ลืมความทุกข์ ได้ดีหัน จนสั่นไหว
รีบเอาดี ชนหอ รอทำไม
จงตั้งใจ ดีกะหวล ชวนบรรเลง
ครั้นดีโหน หนีบแน่น แอ่นขึ้นรับ
เริ่มขยับ เอวซอย ค่อยๆ เร่ง
ดีละเหือน เดือนละคน ชนกันเอง
จะครื้นเครง เปี่ยมสุข สนุกใจ
ถ้ามัวดี แต่หึง ดึงมันเล่น
เอาไม่เป็น ก็หมดท่า หาสุขไม่
ดีแต่หู อย่างเดียว เปลี่ยวฤทัย
ไม่เข้าใกล้ ดีหลบเหิน คงเขินอาย
จึงพาดี วิ่งหนอ ไม่รอช้า
เธอตามมา ล่มคะมำ พลิกคว่ำหงาย
ตกท้องร่อง ดีเลอะหิน เหม็นกลิ่นกาย
หมดความหมาย จนต้อง ดีหองเลย
ชายก็คง ชอบนักเชียว เที่ยวดีหอย
มีมากมาย ให้เลือกหา ถ้าอยากซอย
อย่ามัวคอย รีบมา ชักช้าไย
มาดีหม ดมเล่น เป็นความสุข
ลืมความทุกข์ ได้ดีหัน จนสั่นไหว
รีบเอาดี ชนหอ รอทำไม
จงตั้งใจ ดีกะหวล ชวนบรรเลง
ครั้นดีโหน หนีบแน่น แอ่นขึ้นรับ
เริ่มขยับ เอวซอย ค่อยๆ เร่ง
ดีละเหือน เดือนละคน ชนกันเอง
จะครื้นเครง เปี่ยมสุข สนุกใจ
ถ้ามัวดี แต่หึง ดึงมันเล่น
เอาไม่เป็น ก็หมดท่า หาสุขไม่
ดีแต่หู อย่างเดียว เปลี่ยวฤทัย
ไม่เข้าใกล้ ดีหลบเหิน คงเขินอาย
จึงพาดี วิ่งหนอ ไม่รอช้า
เธอตามมา ล่มคะมำ พลิกคว่ำหงาย
ตกท้องร่อง ดีเลอะหิน เหม็นกลิ่นกาย
หมดความหมาย จนต้อง ดีหองเลย
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552
กลอน ขำๆ นะครับ ( อย่าคิดอะไรไปนั้น )
เกิดเป็นชายชาตรีนี้ลำบาก
หารูยาก ที่ พอเหมาะๆ ไว้ เจาะแหย่
เจอรูหลวม ก็กลัวหลุดระวัง แจ
เจอรูคับ ลำบากแย่ แหย่มาก จัง
แหย่รูเล็ก มันคับไป แหย่ไม่คล่อง
แหย่รูสอง มันแน่นไป ใจแทบคลั่ง
แหย่รูสาม ก็หน้าเบื่อ เหลือกำลัง
แหย่รูสี ยิ่งผิดหวัง หลวมเกินไป
รูหนึ่งสอง คับเกินไป ไม่ได้ที่
รูสามสี ก็ยิ่งหลวม ยามสวมใส่
ลองหลายรู ไม่คอยมัน ชักหวั่นใจฃ
ต้องสวมใส่ เข็มขัดที่ พอดีเอว
โอ๊ย......คิดไปถึงไหนต่อไหนกัน 55555+
หารูยาก ที่ พอเหมาะๆ ไว้ เจาะแหย่
เจอรูหลวม ก็กลัวหลุดระวัง แจ
เจอรูคับ ลำบากแย่ แหย่มาก จัง
แหย่รูเล็ก มันคับไป แหย่ไม่คล่อง
แหย่รูสอง มันแน่นไป ใจแทบคลั่ง
แหย่รูสาม ก็หน้าเบื่อ เหลือกำลัง
แหย่รูสี ยิ่งผิดหวัง หลวมเกินไป
รูหนึ่งสอง คับเกินไป ไม่ได้ที่
รูสามสี ก็ยิ่งหลวม ยามสวมใส่
ลองหลายรู ไม่คอยมัน ชักหวั่นใจฃ
ต้องสวมใส่ เข็มขัดที่ พอดีเอว
โอ๊ย......คิดไปถึงไหนต่อไหนกัน 55555+
วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สรรพลี้หวน อ่านขำ ( ยังไม่จบ )
๏ จะจอดับจับข้อเทวอเดช ปรารภเหตุสว่างสีห่างสีหน
วิชะยันหันเห็กจอเด็กจอดล พิมานบนสีหำไม่เห็นดำเห็นดี
สถิตย์แท่นนพรัตน์เวียนหัตถ์เวียนหัว สดุ้งตัวปีหามหันสามหันสี
นั่งกอดมลมพังพอดังพอดี หรือไหคีแตกรานลักบานลักบน
หรือใครบวชสวดยัดนอควัดนอกเว็จ ยังไม่เสร็จหลับไหลบีไหบีหน
แสนลำบากอยากจะรู้ขอดูขอดล โลกสากลสีหาบลักบาปลักบาม
สร้างปาณาหาผิดตีหิดตีหอย บาปเล็กน้อยมีทั่วไหลขั้วไหลขาม
ไม่เบาถ้อยน้อยเล็กหลอเด็กหลอดาม ลงมองตามบูรทิศเสียงปอดิดปอดัง
หรือในโลกภิภพพีหบพีหัก พอถอดหลักมองดูทั่วรีหูรีหัง (รัว)
เห็นเด็กน้อยลอยคอไม่ยอดัง เปลือกหนีหังเขียวเหน็จเหมือนเห็ดยี
ถึงคีหันวันครึ่งไม่ถึงตาย นอนปีหายน้ำเชี่ยวรูเหียวขี
นั่งดีหูรู้กาลหลานหิ้นปลี ลูกไหหยีโบตักดักเต็มตอ
อีเห็กหลีแม่เฒ่าไม่เย้าเข็ด มันฆ่าเสร็จภายหลังหวังดีหอ
คนใจบาปหาบสีไม่ดียอ เอาดกชอเสียให้ตายอย่างไว้ปราณ
กูต้องลงไปช่วยหวยยัวสี ใหผึ่งหยีวีหงน่าสงสาร
หยิบก้อนดินเข้าทาก่อเทวอดาน ปฏิหารคลี่หิงแล้วทิ้งโยน
ลงขวางหน้าพอดีไม่กลีไห ทิ้งลงไปเสียงถนัดชื่อเกาะถัดเกาะโถน
ให้ล่ำเล็กเด็กหล่อเข้าจอโดน ละลอกโตนยีแหงเข้าแขวงบัง
แล้ววีหับกลับที่วิชีไห สำรวมใจอินทรีย์ไม่หวีหัง
เดียวจีหึงถึงหาดคลื่นสาดดัง ขึ้นกระทั่งเกาะถิ่นฟักหินกี
กำลังหิวลีวลอยลูกขอยหมอง เห็นสุกพองเอื้อมปลิดจุกหิดหนี
ล้วนผลาหากินเก็บหินจี หอยทะยีกลีเหือเนื้อข้าวปลา
บริโภคโหกชีไม่ขีหาด เหมือนปีศาจจีห้าวเฝ้ารักษา
อยู่เกาะถิ่นกินหลับสับปอดาห์ เรือไหนมาถีหามจะข้ามไป
๏ ยกเห็กหลีหยีหับคิดกลับหลัง พอถึงวังกรุงศรีบุรีไห
เห็นโบตักถักบอกกำขอกไท เข้าพิไรกอดองค์ให้ดงลอ
ว่าหาวคีเจ้าหลานสาวข้ามหารหมี หัวยยาวรีน้ำเชี่ยวหัวเดียวขอ
แพก็แหกแตกพราวเป็นดาวยอ ลงลอยคอว่ายดำรูหำดี
ถูกน้ำเชี่ยวเหียวหนีไม่สีเหือก ฉันกลิ้งเกลือกสุดแรงจนแหงหวี
หาไม่พบหลบหน้าพาหามี พระเดชพี่มองเห็นเด็นหรือออ
ท้าวยีเหงื่อเหลือเมียมาเสียหลาน นั่งต่อด่านทำฤทธิ์หัวดิดฝอ
บอกหิ้นปลีลูกเขยพาเดยลอ เด็กไม่ชอตามกันพาหันดี
เดินริมฝั่งหังยีไม่หมีเห็น จำปอเด็นตามเฝ้าหาวลูกสี
ถ้าสีหวนจวนศพเอาหบกี พร้อมไหหยีโบตักเที่ยวดักรอ
ถึงเวลาสายันห์หันดังหวี ชวนเห็กหลีกลับไปเถอะใดหยอ
ไม่พีหบหลบกันดันทุกออ ดังกลับรอฟังข่าวอยู่อ่าวใด
พอเย็นย่ำค่ำดีจะคลีหำ ชวนงามขำเห็กหลีเข้าสีไห
ควรอ่านออกสำเนียงเป็นภาษาใต้ จะสามารถผวนคำได้ถูกต้องและชัดเจนมากขึ้น
วิชะยันหันเห็กจอเด็กจอดล พิมานบนสีหำไม่เห็นดำเห็นดี
สถิตย์แท่นนพรัตน์เวียนหัตถ์เวียนหัว สดุ้งตัวปีหามหันสามหันสี
นั่งกอดมลมพังพอดังพอดี หรือไหคีแตกรานลักบานลักบน
หรือใครบวชสวดยัดนอควัดนอกเว็จ ยังไม่เสร็จหลับไหลบีไหบีหน
แสนลำบากอยากจะรู้ขอดูขอดล โลกสากลสีหาบลักบาปลักบาม
สร้างปาณาหาผิดตีหิดตีหอย บาปเล็กน้อยมีทั่วไหลขั้วไหลขาม
ไม่เบาถ้อยน้อยเล็กหลอเด็กหลอดาม ลงมองตามบูรทิศเสียงปอดิดปอดัง
หรือในโลกภิภพพีหบพีหัก พอถอดหลักมองดูทั่วรีหูรีหัง (รัว)
เห็นเด็กน้อยลอยคอไม่ยอดัง เปลือกหนีหังเขียวเหน็จเหมือนเห็ดยี
ถึงคีหันวันครึ่งไม่ถึงตาย นอนปีหายน้ำเชี่ยวรูเหียวขี
นั่งดีหูรู้กาลหลานหิ้นปลี ลูกไหหยีโบตักดักเต็มตอ
อีเห็กหลีแม่เฒ่าไม่เย้าเข็ด มันฆ่าเสร็จภายหลังหวังดีหอ
คนใจบาปหาบสีไม่ดียอ เอาดกชอเสียให้ตายอย่างไว้ปราณ
กูต้องลงไปช่วยหวยยัวสี ใหผึ่งหยีวีหงน่าสงสาร
หยิบก้อนดินเข้าทาก่อเทวอดาน ปฏิหารคลี่หิงแล้วทิ้งโยน
ลงขวางหน้าพอดีไม่กลีไห ทิ้งลงไปเสียงถนัดชื่อเกาะถัดเกาะโถน
ให้ล่ำเล็กเด็กหล่อเข้าจอโดน ละลอกโตนยีแหงเข้าแขวงบัง
แล้ววีหับกลับที่วิชีไห สำรวมใจอินทรีย์ไม่หวีหัง
เดียวจีหึงถึงหาดคลื่นสาดดัง ขึ้นกระทั่งเกาะถิ่นฟักหินกี
กำลังหิวลีวลอยลูกขอยหมอง เห็นสุกพองเอื้อมปลิดจุกหิดหนี
ล้วนผลาหากินเก็บหินจี หอยทะยีกลีเหือเนื้อข้าวปลา
บริโภคโหกชีไม่ขีหาด เหมือนปีศาจจีห้าวเฝ้ารักษา
อยู่เกาะถิ่นกินหลับสับปอดาห์ เรือไหนมาถีหามจะข้ามไป
๏ ยกเห็กหลีหยีหับคิดกลับหลัง พอถึงวังกรุงศรีบุรีไห
เห็นโบตักถักบอกกำขอกไท เข้าพิไรกอดองค์ให้ดงลอ
ว่าหาวคีเจ้าหลานสาวข้ามหารหมี หัวยยาวรีน้ำเชี่ยวหัวเดียวขอ
แพก็แหกแตกพราวเป็นดาวยอ ลงลอยคอว่ายดำรูหำดี
ถูกน้ำเชี่ยวเหียวหนีไม่สีเหือก ฉันกลิ้งเกลือกสุดแรงจนแหงหวี
หาไม่พบหลบหน้าพาหามี พระเดชพี่มองเห็นเด็นหรือออ
ท้าวยีเหงื่อเหลือเมียมาเสียหลาน นั่งต่อด่านทำฤทธิ์หัวดิดฝอ
บอกหิ้นปลีลูกเขยพาเดยลอ เด็กไม่ชอตามกันพาหันดี
เดินริมฝั่งหังยีไม่หมีเห็น จำปอเด็นตามเฝ้าหาวลูกสี
ถ้าสีหวนจวนศพเอาหบกี พร้อมไหหยีโบตักเที่ยวดักรอ
ถึงเวลาสายันห์หันดังหวี ชวนเห็กหลีกลับไปเถอะใดหยอ
ไม่พีหบหลบกันดันทุกออ ดังกลับรอฟังข่าวอยู่อ่าวใด
พอเย็นย่ำค่ำดีจะคลีหำ ชวนงามขำเห็กหลีเข้าสีไห
ควรอ่านออกสำเนียงเป็นภาษาใต้ จะสามารถผวนคำได้ถูกต้องและชัดเจนมากขึ้น
วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สำหรับ คน มีเมียแล้ว (โดนใจว่ะ......)
เมียหลวงคือ
ภรรยาที่เคยดีที่สุดในอดีต แต่กาลเวลาและสิ่งแวดล้อมทำลายความดีของเธอจนหมดสิ้นในระยะเวลาอันสั้น และทิ้งความโหดร้ายไว้ให้เธอต้องรับผลกรรม คือ ความจุกจิก จู้จี้ ขี้บ่น แก่ง่าย ตายยาก พูดมาก กินจุ อ้วนเหมือนหมู ดุเหมือนเสือ
เมียเก็บคือ
อาหารพิเศษ มีรสชาติแตกต่างจากอาหารธรรมดาทั่วไป เหมาะที่จะกินเป็นครั้งเป็นคราว เพื่อแก้เลี่ยน เป็นสินค้ายอดนิยมและมีราคาแพง เงื่อนไขเยอะ
เมียน้อย คือ
ผู้หญิงที่ดีที่สุด ที่ผู้ชายเพิ่งมาค้นพบภายหลัง
เมียแต่ง คือ
ผู้หญิงที่ทรงคุณค่าและคุณผู้ชายอยากจะประทับรอยรักสุดใจขาดดิ้น แต่ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่านี้
เมียเช่า คือ
ผู้หญิงผิวคล้ำ ขี้ร้อน ใช้เสื้อผ้าน้อยชิ้น สูบบุหรี่กินเหล้าเป็นงานอดิเรก รสนิยมสูง นิยมบริโภคของนอก มีปริมาณความรักขึ้นลงตามกระแสเงินสด
เมียจ๋า คือ
ผู้หญิงหน้าดุเหมือนเสือ ยืนชูไม้ต้นรักเหมือนเทพีสันติภาพ และมีสามีนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ประสานมือเหนือหน้าอกเหมือนไหว้เจ้า เพราะมีประวัติเพิ่งทำการละเมิดข้อห้ามร้ายแรงของภรรยาบังเกิดเกล้า ลักษณะตัวสั่น น้ำลายไหลเล็กน้อย พูดตะกุกตะกักว่า 'เมียจ๋า' ซึ่งเป็นคำพูดในความหมาย ขออภัย ไถ่โทษ
เมียกู คือ
ผู้หญิงสวย ขาว หุ่นเพรียวผอม อายุน้อย หน้าตาน่ารัก เพราะยังไม่มีการรวมตัวของไขมันและตีนกา พูดจาไพเราะอ่อนหวาน ผู้ชายที่พบเห็นจะเกิดอาการเขื่อนกั้นน้ำลายพัง ทำให้เอ่อล้นออกมานอกปาก แสดงอาการหึงหวง กีดกันชายอื่นไม่ให้เข้าใกล้ แสดงความเป็นเจ้าของ ทั้งที่บางครั้งยังไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง
เมียบังเกิดเกล้า คือ
ผู้หญิงที่น่าเบื่อที่สุดในโลก ความรู้น้อย บริหารงานไม่เป็น vision เป็นศูนย์ เผด็จการ ชอบใช้อำนาจในทางที่ผิด ข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย ใช้คำพูดหยาบคาย บุคลิกภาพน่ารังเกียจ เป็นที่ชิงชังของเพื่อนบ้านและผู้ชายทั่วไป โดยเฉพาะสามี จากคุณสมบัติที่น่าสยดสยองดังกล่าว ทำให้สามีเกลียด ขยะแขยง คลื่นไส้จนไม่อยากพูดด้วย ไม่อยากโต้ตอบ ไม่อยากมีเรื่อง สามีที่มีภรรยาประเภทนี้ จึงใช้คำพูดอยู่สองคำ คือ 'ครับ' และ 'ใช่ครับ' และใช้สรรพนามเรียกภรรยาว่า 'แม่' มักอธิบายให้เพื่อนฟังว่า เรียกตามลูก แต่เพื่อนๆ ไม่แน่ใจว่าเรียกตามลูกหรือเรียกด้วยความเคารพยำเกรง เพื่อสวัสดิภาพของตัวเอง และที่สำคัญ ได้ลบคำว่า 'นอกใจ'ออกจากสมองและพจนานุกรมในบ้านเรียบร้อยแล้ว
เพิ่มเติม
ความหมายของคำว่า เมีย (WIFE)
W = without = ปราศจาก
I = Information = แจ้งให้ทราบ
F = Fighting = ต่อสู้ (ทะเลาะ)
E = Every Day = ทุก ๆ วัน
รวมความก็คือ
Without Information Fighting Every day
แปลเป็นไทยก็คือ
หาเรื่อง ทะเลาะได้ ทุก ๆ วัน โดย ปราศจาก การ แจ้งให้ทราบล่วงหน้า
ภรรยาที่เคยดีที่สุดในอดีต แต่กาลเวลาและสิ่งแวดล้อมทำลายความดีของเธอจนหมดสิ้นในระยะเวลาอันสั้น และทิ้งความโหดร้ายไว้ให้เธอต้องรับผลกรรม คือ ความจุกจิก จู้จี้ ขี้บ่น แก่ง่าย ตายยาก พูดมาก กินจุ อ้วนเหมือนหมู ดุเหมือนเสือ
เมียเก็บคือ
อาหารพิเศษ มีรสชาติแตกต่างจากอาหารธรรมดาทั่วไป เหมาะที่จะกินเป็นครั้งเป็นคราว เพื่อแก้เลี่ยน เป็นสินค้ายอดนิยมและมีราคาแพง เงื่อนไขเยอะ
เมียน้อย คือ
ผู้หญิงที่ดีที่สุด ที่ผู้ชายเพิ่งมาค้นพบภายหลัง
เมียแต่ง คือ
ผู้หญิงที่ทรงคุณค่าและคุณผู้ชายอยากจะประทับรอยรักสุดใจขาดดิ้น แต่ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่านี้
เมียเช่า คือ
ผู้หญิงผิวคล้ำ ขี้ร้อน ใช้เสื้อผ้าน้อยชิ้น สูบบุหรี่กินเหล้าเป็นงานอดิเรก รสนิยมสูง นิยมบริโภคของนอก มีปริมาณความรักขึ้นลงตามกระแสเงินสด
เมียจ๋า คือ
ผู้หญิงหน้าดุเหมือนเสือ ยืนชูไม้ต้นรักเหมือนเทพีสันติภาพ และมีสามีนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ประสานมือเหนือหน้าอกเหมือนไหว้เจ้า เพราะมีประวัติเพิ่งทำการละเมิดข้อห้ามร้ายแรงของภรรยาบังเกิดเกล้า ลักษณะตัวสั่น น้ำลายไหลเล็กน้อย พูดตะกุกตะกักว่า 'เมียจ๋า' ซึ่งเป็นคำพูดในความหมาย ขออภัย ไถ่โทษ
เมียกู คือ
ผู้หญิงสวย ขาว หุ่นเพรียวผอม อายุน้อย หน้าตาน่ารัก เพราะยังไม่มีการรวมตัวของไขมันและตีนกา พูดจาไพเราะอ่อนหวาน ผู้ชายที่พบเห็นจะเกิดอาการเขื่อนกั้นน้ำลายพัง ทำให้เอ่อล้นออกมานอกปาก แสดงอาการหึงหวง กีดกันชายอื่นไม่ให้เข้าใกล้ แสดงความเป็นเจ้าของ ทั้งที่บางครั้งยังไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง
เมียบังเกิดเกล้า คือ
ผู้หญิงที่น่าเบื่อที่สุดในโลก ความรู้น้อย บริหารงานไม่เป็น vision เป็นศูนย์ เผด็จการ ชอบใช้อำนาจในทางที่ผิด ข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย ใช้คำพูดหยาบคาย บุคลิกภาพน่ารังเกียจ เป็นที่ชิงชังของเพื่อนบ้านและผู้ชายทั่วไป โดยเฉพาะสามี จากคุณสมบัติที่น่าสยดสยองดังกล่าว ทำให้สามีเกลียด ขยะแขยง คลื่นไส้จนไม่อยากพูดด้วย ไม่อยากโต้ตอบ ไม่อยากมีเรื่อง สามีที่มีภรรยาประเภทนี้ จึงใช้คำพูดอยู่สองคำ คือ 'ครับ' และ 'ใช่ครับ' และใช้สรรพนามเรียกภรรยาว่า 'แม่' มักอธิบายให้เพื่อนฟังว่า เรียกตามลูก แต่เพื่อนๆ ไม่แน่ใจว่าเรียกตามลูกหรือเรียกด้วยความเคารพยำเกรง เพื่อสวัสดิภาพของตัวเอง และที่สำคัญ ได้ลบคำว่า 'นอกใจ'ออกจากสมองและพจนานุกรมในบ้านเรียบร้อยแล้ว
เพิ่มเติม
ความหมายของคำว่า เมีย (WIFE)
W = without = ปราศจาก
I = Information = แจ้งให้ทราบ
F = Fighting = ต่อสู้ (ทะเลาะ)
E = Every Day = ทุก ๆ วัน
รวมความก็คือ
Without Information Fighting Every day
แปลเป็นไทยก็คือ
หาเรื่อง ทะเลาะได้ ทุก ๆ วัน โดย ปราศจาก การ แจ้งให้ทราบล่วงหน้า
เพื่อการลดเลือนริ้วรอยในทุกขั้นตอนจากภายใน
ธรรมชาติผิวของผู้หญิงที่เข้าสู่วัย 35 มักจะมาพร้อมกับนานานริ้วรอยที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวใบหน้าและผิวกายที่เคยนุ่มเนียน เต่งตึง กลับค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างยากที่แก้ใขเนื่องจากอายุที่มากขึ้น การเสื่อมโทรมภายในชั้นผิวเกิดขึ้นดังนี้
- การผลัดเซลล์ผิวเกิดช้า ทำให้ผิวอ่อนแอเกิดรอยเหี่ยวย่นง่าย
- การผลิดคอลลาเจนและอีลาสตินเกิดในอัตรา น้อยลงทำให้ผิวขาดความแข็งแรงเกิดการหย่อนคล้อย
- เซลล์ผลิตเม็ดสีลดจำนวนลง เซลล์เม็ดสีที่เหลืออยู่ เกิดความผิดปกติ ใบหน้าดูหมองคล้ำ
- ผิวขาดความชุ่มชื่นอีกทั้งหลอดเลือดที่เลี้ยงเซลล์ผิวเปราะ ทำให้ผิวมีริ้วรอยง่ายขึ้น
นอกจากวัยที่เพิ่มขึ้นอันเป็นสาเหตุหลักแล้วปัจจัยบางอย่าง ก็เป็นที่มาแห่งริ้วรอย
1.แสงแดง
รังสี UV สามารถผ่านเข้าไปทำลายเส้นใยอีลาสตินและคอลลาเจนในโครงสร้างของผิวขั้นในได้ ถ้าผิวได้รับแสงแดดบ่อยๆ และไม่สามารถซ่อมแซมได้ทันอาจก่อให้เกิดริ้วรอย ฝ้า กระ และการเปลียนแปลงของเม็ดสีใต้ผิวหนัง
2.อารมณ์ ความเครียด
อารมณ์และความเครียด มีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนและระบบภูมิต้านทานในร่างกาย อีกทั้งยังทำให้เกิดร้วร้อยต่างๆ เช่น รอบดวงตา หน้าผากและมุมปาก
3.ได้รับสารอาหารที่ไม่พอเพียง
การบริโภคแบบเร่งรีบในปัจจุบัน ทำให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารไม่พอเพียง แต่แม้จะรับประทานอาหารครบถ้วนก็อาจจะยังไม่ได้ผล เนื่องจากต้องเป็นสารอาหารเฉพาะกลุ่มในปริมาณที่เหมาะสม
4.บุหรี่ และมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม
มลพิษในอากาศมีส่วนทำให้ผิวหนังถูกทำลาย บุหรี่ก็เป็นตัวการที่ทำลายผิว เนื่องจากบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงผิวหนังหดตัว ความชุ่มชื้นลดลง เส้นใยอีลาสตินถูกทำลาย
5.อนุมูลอิสระ
อนุมูลอิสระ หรือ ฟรีแรดิคอล ( Free Radical ) คือโมเลกุลของสารที่เกิดในร่างกายแล้วทำให้เซลล์ต่างๆ เสื่อมประสิทธิภาพ อนุมูลอิสระเกิดจากปฏิกิริยาการเผาผลาญอาหารตามปกติแต่ถูกแร่งให้มากขึ้นด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น ความเครียด พักผ่อนน้อย การดื่มสุรา สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารอย่างไม่สมดุลซึ่งสารอนุมูลอิสระสามารถทำให้เซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพ ดังนี้
- อนุมูลอิสระทำลายอีลาสตินและคอลลาเจน ก่อให้เกิดเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวหย่อนยาน
- หลอดเลือดใต้ผิวหนังเสื่อมโทรม อาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงผิวน้อยลงผิวหนังขาดความแข็งแรง
- อนุมูลิอิสระทำให้เกิดเม็ดสี่ที่ผิดปกติเพิ่มขึ้นผิวจึงหมองคล่ำลง
ก็ช่วยดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีและคนรอบข้างให้ดีนะครับ
- การผลัดเซลล์ผิวเกิดช้า ทำให้ผิวอ่อนแอเกิดรอยเหี่ยวย่นง่าย
- การผลิดคอลลาเจนและอีลาสตินเกิดในอัตรา น้อยลงทำให้ผิวขาดความแข็งแรงเกิดการหย่อนคล้อย
- เซลล์ผลิตเม็ดสีลดจำนวนลง เซลล์เม็ดสีที่เหลืออยู่ เกิดความผิดปกติ ใบหน้าดูหมองคล้ำ
- ผิวขาดความชุ่มชื่นอีกทั้งหลอดเลือดที่เลี้ยงเซลล์ผิวเปราะ ทำให้ผิวมีริ้วรอยง่ายขึ้น
นอกจากวัยที่เพิ่มขึ้นอันเป็นสาเหตุหลักแล้วปัจจัยบางอย่าง ก็เป็นที่มาแห่งริ้วรอย
1.แสงแดง
รังสี UV สามารถผ่านเข้าไปทำลายเส้นใยอีลาสตินและคอลลาเจนในโครงสร้างของผิวขั้นในได้ ถ้าผิวได้รับแสงแดดบ่อยๆ และไม่สามารถซ่อมแซมได้ทันอาจก่อให้เกิดริ้วรอย ฝ้า กระ และการเปลียนแปลงของเม็ดสีใต้ผิวหนัง
2.อารมณ์ ความเครียด
อารมณ์และความเครียด มีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนและระบบภูมิต้านทานในร่างกาย อีกทั้งยังทำให้เกิดร้วร้อยต่างๆ เช่น รอบดวงตา หน้าผากและมุมปาก
3.ได้รับสารอาหารที่ไม่พอเพียง
การบริโภคแบบเร่งรีบในปัจจุบัน ทำให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารไม่พอเพียง แต่แม้จะรับประทานอาหารครบถ้วนก็อาจจะยังไม่ได้ผล เนื่องจากต้องเป็นสารอาหารเฉพาะกลุ่มในปริมาณที่เหมาะสม
4.บุหรี่ และมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม
มลพิษในอากาศมีส่วนทำให้ผิวหนังถูกทำลาย บุหรี่ก็เป็นตัวการที่ทำลายผิว เนื่องจากบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงผิวหนังหดตัว ความชุ่มชื้นลดลง เส้นใยอีลาสตินถูกทำลาย
5.อนุมูลอิสระ
อนุมูลอิสระ หรือ ฟรีแรดิคอล ( Free Radical ) คือโมเลกุลของสารที่เกิดในร่างกายแล้วทำให้เซลล์ต่างๆ เสื่อมประสิทธิภาพ อนุมูลอิสระเกิดจากปฏิกิริยาการเผาผลาญอาหารตามปกติแต่ถูกแร่งให้มากขึ้นด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น ความเครียด พักผ่อนน้อย การดื่มสุรา สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารอย่างไม่สมดุลซึ่งสารอนุมูลอิสระสามารถทำให้เซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพ ดังนี้
- อนุมูลอิสระทำลายอีลาสตินและคอลลาเจน ก่อให้เกิดเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวหย่อนยาน
- หลอดเลือดใต้ผิวหนังเสื่อมโทรม อาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงผิวน้อยลงผิวหนังขาดความแข็งแรง
- อนุมูลิอิสระทำให้เกิดเม็ดสี่ที่ผิดปกติเพิ่มขึ้นผิวจึงหมองคล่ำลง
ก็ช่วยดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีและคนรอบข้างให้ดีนะครับ
วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เอวต่ำอันตราย
การวิ่งตามแฟชั่นอาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้สวมใส่ อย่างเช่นการใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำส่งผลกระทบโดยตรงต่อกระดูก และล่าสุดแพทย์ในแคนาดาออกมาเตือนสาวที่ชอบใส่กางเกงเอวต่ำโชว์สะดือแบบเดียวที่เห็นนักร้อง บริทนีย์ สเปียร์ส ใส่ร้องเพลงอยู่ประจำ เนื่องจากขอบกางเกงเอวแบบนี้จะรัดแน่นอยูแถวสะโพกบน ซึ่งจะไปกดทับเส้นประสาทบริเวณดังกล่าว ก่อให้เกิดอาการปวดเสียวคล้ายนามแทงที่แรกว่า paresthesia อาจมีสาเหตุมาจากความอ้วน การใช้เข็มขัดนิรภัย นั่งไขว้ห้าง หรือสวมกางเกง เข็มขัดที่หนักและรัดแน่น แม้แต่การใส่ของในกระเป๋ากางเกงมากเกินไป ในแคนาดามีผู้หญิงมาพบแพทย์และต้องใช้เวลาหกถึงแปดสัปดาห์เพื่อรักษาอาการดังกล่าวแล้วแพทย์แนะนำว่า หากสาวๆ คลั่งแฟชั่นเริ่มมีอาการที่ว่า ควรจะเปลี่ยนมาใส่กางเกงเอวปกติหรือเสื้อผ้าที่หลวมขึ้น เพื่อลดอันตรายที่อาจเกิดกับสุภาพของคุณ นังมีอีกหลายวิธีที่สวยได้โดยไม่ต้องเสี่ยง
อยากให้ลองอ่านดูนะ....
ในขณะที่เราคิดถึงคน ๆ นึงตลอดเวลา เค้าคนนั้นก็อาจคิดถึงคนอื่นอยู่ก็เป็นได้ และบางครั้ง ก็อาจมีคนที่คิดถึงเราโดยที่เราไม่สนใจเลยเช่นกัน
บางครั้ง การได้ฝันไปคนเดียวมันก็ดีกว่าการได้รู้ความจริงที่ว่า สิ่งที่เราคิดทั้งหมดมันคือความฝันของเราเองเพียงคนเดียว ฉะนั้น ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะจมกับความฝัน มากกว่าการได้รับรู้ความจริง การไม่ได้เป็นที่ 1 ในใจเค้าไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า... เราอาจเป็นที่ 2 ซึ่งมันก็ยังดีกว่าเป็นที่ 3 ที่ 4... และหากเราเป็นที่ 10 ในใจเค้า... ก็ขอให้คิดไว้ว่าดีกว่าเราไม่มีความสำคัญอะไรในใจเค้าเลย แต่โปรดจำไว้เถอะว่า หากหัวใจของคุณยังไม่ร้องไห้ออกมาดัง ๆ พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า...ชั้นเหนื่อยเหลือเกินแล้ว โปรดห้ามใจเถอะก่อนที่ชั้นจะอ่อนล้าไปกว่านี้... ก็จงชอบต่อไปเถอะ การรักใครซักคนไม่ต้องการความพยายาม "การตัดใจ"ต่างหากที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย ลองชั่งน้ำหนักในใจเราดูสิว่าความสุขยาม ที่คุณได้สบตาเค้า กับความทุกข์ยามที่คุณต้องคอยหลบตาเค้า อันไหนมันหนักหนากว่ากัน อย่าโทษตัวเอง ที่มาเจอเค้าสายเกินไป... อย่าโทษเค้าที่ไม่มีใจให้... อย่าโทษโชคชะตาที่ทำให้เราพบกันแต่ไม่ได้ทำให้เราใจตรงกัน
แต่จงยิ้มให้กับตัวเอง ที่อย่างน้อยถึงจะพบกับเค้าคนนั้นสายเกินไป แต่ก็ยังได้พบ... ยิ้มให้เค้า ที่ถึงจะไม่ได้ให้ใจเรามา แต่ก็ยังได้รับหัวใจของเราไป...
ยิ้มให้กับโชคชะตา ที่ยังทำให้เรา...ได้รู้จักกัน คุณควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ครั้งหนึ่ง คุณได้เจอคนที่คุณอยากเก็บรอยยิ้มของเค้าไว้คนเดียว
คนที่คุณใส่ใจกว่าตัวคุณเอง... คนที่ทำให้คุณหัวเราะ...และร้องไห้ได้มากมาย... คนที่เพียงแค่ยิ้มของเค้า ก็สามารถเปลี่ยนวันที่หมองหม่น...ให้กลายเป็นวันที่สดใส เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ? แค่การได้เห็นคนที่เรารัก ได้หัวเราะอย?่กับใครสักคนที่เค้ารักมากที่สุด ...นั่นแหละคือความสุขของการได้รัก...อย่างจริงใจ
บางครั้ง การได้ฝันไปคนเดียวมันก็ดีกว่าการได้รู้ความจริงที่ว่า สิ่งที่เราคิดทั้งหมดมันคือความฝันของเราเองเพียงคนเดียว ฉะนั้น ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะจมกับความฝัน มากกว่าการได้รับรู้ความจริง การไม่ได้เป็นที่ 1 ในใจเค้าไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า... เราอาจเป็นที่ 2 ซึ่งมันก็ยังดีกว่าเป็นที่ 3 ที่ 4... และหากเราเป็นที่ 10 ในใจเค้า... ก็ขอให้คิดไว้ว่าดีกว่าเราไม่มีความสำคัญอะไรในใจเค้าเลย แต่โปรดจำไว้เถอะว่า หากหัวใจของคุณยังไม่ร้องไห้ออกมาดัง ๆ พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า...ชั้นเหนื่อยเหลือเกินแล้ว โปรดห้ามใจเถอะก่อนที่ชั้นจะอ่อนล้าไปกว่านี้... ก็จงชอบต่อไปเถอะ การรักใครซักคนไม่ต้องการความพยายาม "การตัดใจ"ต่างหากที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย ลองชั่งน้ำหนักในใจเราดูสิว่าความสุขยาม ที่คุณได้สบตาเค้า กับความทุกข์ยามที่คุณต้องคอยหลบตาเค้า อันไหนมันหนักหนากว่ากัน อย่าโทษตัวเอง ที่มาเจอเค้าสายเกินไป... อย่าโทษเค้าที่ไม่มีใจให้... อย่าโทษโชคชะตาที่ทำให้เราพบกันแต่ไม่ได้ทำให้เราใจตรงกัน
แต่จงยิ้มให้กับตัวเอง ที่อย่างน้อยถึงจะพบกับเค้าคนนั้นสายเกินไป แต่ก็ยังได้พบ... ยิ้มให้เค้า ที่ถึงจะไม่ได้ให้ใจเรามา แต่ก็ยังได้รับหัวใจของเราไป...
ยิ้มให้กับโชคชะตา ที่ยังทำให้เรา...ได้รู้จักกัน คุณควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ครั้งหนึ่ง คุณได้เจอคนที่คุณอยากเก็บรอยยิ้มของเค้าไว้คนเดียว
คนที่คุณใส่ใจกว่าตัวคุณเอง... คนที่ทำให้คุณหัวเราะ...และร้องไห้ได้มากมาย... คนที่เพียงแค่ยิ้มของเค้า ก็สามารถเปลี่ยนวันที่หมองหม่น...ให้กลายเป็นวันที่สดใส เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ? แค่การได้เห็นคนที่เรารัก ได้หัวเราะอย?่กับใครสักคนที่เค้ารักมากที่สุด ...นั่นแหละคือความสุขของการได้รัก...อย่างจริงใจ
วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
10 อันดับ คนอัจฉริยะที่สุดในโลก
10. Elaina Smith: ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตอายุ 7 ขวบ
สถานีวิทยุท้องถิ่นได้เสนองานให้คำ ปรึกษาปัญหาชีวิตกับหนูน้อย Elaina เมื่อเธอโทร. เข้ามาให้คำแนะนำกับหญิงสาวคนหนึ่งที่โทร. มาปรึกษาสถานีเรื่องที่เธอถูกแฟนทิ้ง คำแนะนำง่าย ๆ ของ Elaina คือการบอกให้หญิงสาวผู้นั้นออกไปโยนโบว์ลิ่งกับเพื่อนและก็ดื่มนมสักแก้วนึง โต ๆ และนั่นทำให้เธอได้เวลาจัดรายการแก้ปัญหาชีวิตรายสัปดาห์จากสถานีจนได้รับความนิยมจากผู้ฟังนับพัน เธอรับปรึกษาตั้งแต่ปัญหาเรื่องจะทิ้งแฟนอย่างไร จะทำยังไงเมื่อเลิกกับแฟน ไปจนกระทั่งปัญหากลิ่นตัวของพี่น้องในบ้าน
ครั้งหนึ่งได้มีคนฟังโทรศัพท์มาถาม Elaina ว่าทำยังไงเธอถึงจะได้แฟนของเธอกลับมา หนูน้อยบอกไปว่า " ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะคร่ำครวญถึง ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะไปเศร้าโศกถึงผู้ชายแค่คนเดียว"
6. Saul Aaron Kripke: Harvard( มหาวิทยาลัยอันดับ1 ของโลก) เชิญให้ไปสมัครเป็นอาจารย์ขณะที่ยังเรียนไฮสคูล
Kripke เป็นลูกชายของพระแรบไบ เกิดที่นิวยอร์คและโตที่ Omaha รัฐ Nebraska เริ่มศึกษาพีชคณิตเมื่อตอนอยู่เกรด 4 และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิตและแคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่ง และเริ่มหันไปให้ความสนใจกับปรัชญา
Kripke เขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ (semantics) และตรรกวิทยาแบบ modal logic ในขณะที่มีอายุเพียง 16 ปี และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้นทำให้เขาได้รับจดหมายเชิญจากภาควิชา คณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เชิญชวนให้เขาไปสมัครเป็นอาจารย์ ซึ่งเขาก็ได้เขียนตอบปฎิเสธไปว่า "แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนให้จบไฮสคูลและมหาวิทยาลัยเสียก่อนดีกว่า" และเมื่อเขาเรียนจบไฮสคูลเขาก็เลือกเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด
Kripke ได้รับรางวัล Shock Prize ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล ปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่า เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิต
5. Aelita Andre : หนูน้อยที่มีผลงานภาพออกแสดงในแกลลอรี่มีชื่อเสียง ด้วยวัยเพียง 2 ขวบ
ศิลปินแนว Abstract อายุเพียง 2 ขวบผู้นี้ได้กลายเป็นบุคคลที่ชาวออสเตรเลียกล่าวถึงเป็นอันมาก เมื่อผลงานของเธอได้ออกแสดงใน Brunswick Street Gallery ใน Melbourne's Fitzroy
Mark Jamieson ผู้อำนวยการของแกลลอรี่ดังกล่าวได้เห็นภาพที่ Nikka Kalashnikova นักถ่ายภาพคนหนึ่งที่มีงานแสดงในแกลลอรีนำมาให้ดูและเขาก็ชอบจนตกลงใจที่จะ จัดการแสดงภาพเหล่านั้น จนเมื่อได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานในนิตยสารต่าง ๆ แล้ว เขาจึงได้ทราบว่าเจ้าของผลงาน คือลูกสาวของ Kalashnikova นั่นเอง และมีอายุเพียง 22 เดือน แม้ Jamieson รู้สึกอับอายไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจที่จะแสดงผลงานของหนูน้อยต่อไป
4. Cleopatra Stratan : นักร้องเด็กอายุเพียง 3 ขวบ มีรายได้ 1,000 ยูโรต่อเพลง (47,000-48,000 บาท)
Clepotra เกิดเมื่อ 6 ตุลาคม 2002 ที่เมืองคีชีเนา ประเทศมอลโดวา เป็นลูกสาวของนักร้องเชื้อสายมอลโดวา-โรมาเนีย เธอเป็นนักร้องอายุน้อยที่สุดที่ประสบความสำเร็จด้วยอัลบั้มในปี 2006 ของเธอที่ชื่อว่า"At the age of 3" และยังเป็นเจ้าของสถิติศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เปิดการแสดงสดตลอด 2 ชั่วโมงต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก เป็นศิลปินเด็กที่ค่าตัวสูงสุด เป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่จะได้รับรางวัล MTV และเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่มีเพลงติดชาร์ตอันดับหนึ่งในประเทศโรมาเนีย
http://www.youtube.com/watch?v=GDq-E708lHU ( ลองเข้าไปฟังเพลงของเธอได้ ตามลิ้งค์ด้านบนเลยค่ะ ^^ )
3. Akrit Jaswal : ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ
Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า "เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก" เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ กันในอินเดีย ประเทศที่มีประชากรนับพันล้านคน
Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000 เมื่อเขาได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง 7 ขวบ คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอได้ มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน Akrit ในตอนนั้นยังไม่ได้เรียนแพทย์อย่างเป็นทางการและยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่า ตัดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีก ครั้ง ขณะนี้ Akrit กำลังเรียนปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่ วิทยาลัย Chandigarh และเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน
2. Gregory Smith: ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่ออายุ เพียง 12 ปี
Gregory เกิดในปี 1990 อ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบ ความเป็นอัจฉริยะของเขานั้นยังไม่ได้ครึ่งของเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้ เมื่อเขาตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิ เด็ก
Gregory Smith เป็นผู้ก่อตั้ง International Youth Advocates ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพและความเข้าอกเข้าใจในระหว่างเยาวชนทั่วโลก เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Clinton และ Mikhail Gorbachev และยังเคยปฐกถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย
จากการทำงานด้านมนุษยธรรมนี้ ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4 ครั้ง แต่ความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับคือ...มีใบขับขี่เป็นของตัวเองได้ซะทีนั่นเอง 1. Kim Ung-Yong: เข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 4 ขวบ จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมี IQ สูงที่สุดในโลก
Kim Ung-Yong เกิดในปี 1962 และอาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records ได้บันทึกว่าเขามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210
คิมอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ ตอนวันเกิดครบ 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคิวลัส (differential and integral calculus) ที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี
คิม เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3 - 6 ขวบ พออายุ 7 ขวบ NASA ได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 เสียอีก ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งเขากลับเกาหลีในปี 1978 และได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิกส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธาและได้ศึกษาจนได้รับ ปริญญาเอกอีกเช่นกัน
สถานีวิทยุท้องถิ่นได้เสนองานให้คำ ปรึกษาปัญหาชีวิตกับหนูน้อย Elaina เมื่อเธอโทร. เข้ามาให้คำแนะนำกับหญิงสาวคนหนึ่งที่โทร. มาปรึกษาสถานีเรื่องที่เธอถูกแฟนทิ้ง คำแนะนำง่าย ๆ ของ Elaina คือการบอกให้หญิงสาวผู้นั้นออกไปโยนโบว์ลิ่งกับเพื่อนและก็ดื่มนมสักแก้วนึง โต ๆ และนั่นทำให้เธอได้เวลาจัดรายการแก้ปัญหาชีวิตรายสัปดาห์จากสถานีจนได้รับความนิยมจากผู้ฟังนับพัน เธอรับปรึกษาตั้งแต่ปัญหาเรื่องจะทิ้งแฟนอย่างไร จะทำยังไงเมื่อเลิกกับแฟน ไปจนกระทั่งปัญหากลิ่นตัวของพี่น้องในบ้าน
ครั้งหนึ่งได้มีคนฟังโทรศัพท์มาถาม Elaina ว่าทำยังไงเธอถึงจะได้แฟนของเธอกลับมา หนูน้อยบอกไปว่า " ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะคร่ำครวญถึง ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะไปเศร้าโศกถึงผู้ชายแค่คนเดียว"
9. Willie Mosconi: เริ่มชีวิตนักบิลเลียดอาชีพเมื่ออายุเพียง 6 ขวบ
William Joseph Mosconi หรือเจ้าของฉายา "Mr. Pocket Billiards" (pocket billiard = พูล) หนูน้อยจาก Philadelphia, Pennsylvania มีบิดาเป็นเจ้าของโต๊ะพูลแต่กลับไม่ยอมให้เขาเล่นพูล แต่ Willie ก็ไม่ยอมแพ้โดยเลี่ยงไปฝึกฝนด้วยหัวมันฝรั่งกับด้ามไม้กวาดเก่า ๆ ในครัวของแม่ ไม่นานนักพ่อของเขาก็ได้เห็นความเป็นอัจริยะ จึงได้จัดให้มีการแข่งขันท้าประลองเกิดขึ้น และ Willie ก็สามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอายุและประสบการณ์เหนือกว่าตนเองมากมายได้ ทั้ง ๆ ที่เขายัง ต้องยืนบนกล่องต่อขาเพื่อให้สูงถึงโต๊ะจนเล่นได้ก็ตาม
ใน ปี 1919 ได้มีการจัดการแข่งขันระหว่างหนูน้อย Willie วัย 6 ขวบและแชมป์โลกอย่าง Ralph Greenleaf แม้ Greenleaf จะเป็นผู้ชนะแต่ Willie ก็เล่นได้ดีมากและทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบิลเลียดอาชีพตั้งแต่บัดนั้น และในปี 1924 Willie ก็ได้เป็นแชมป์ straight pool (พูล 15 ลูก) เยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 11 ปี และมีงานเดินสายโชว์เทคนิคการเล่นอย่างสม่ำเสมอ
ใน ช่วงปี 1941-1957 Willie ก็ได้ครองแชมป์ BCA (Billiard Congress of America) World Championship ถึง15 สมัย เป็นผู้ริเริ่มเทคนิคใหม่ ๆ ในการตีบิลเลียด สร้างสถิติมากมาย และยังช่วยทำให้กีฬาบิลเลียดกลายเป็นที่นิยมอีกด้วย ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นเจ้าของสถิติสูงสุดในการตีลูกได้ติดต่อกัน ถึง 526 ลูกในการแข่งขัน Straight Pool
William Joseph Mosconi หรือเจ้าของฉายา "Mr. Pocket Billiards" (pocket billiard = พูล) หนูน้อยจาก Philadelphia, Pennsylvania มีบิดาเป็นเจ้าของโต๊ะพูลแต่กลับไม่ยอมให้เขาเล่นพูล แต่ Willie ก็ไม่ยอมแพ้โดยเลี่ยงไปฝึกฝนด้วยหัวมันฝรั่งกับด้ามไม้กวาดเก่า ๆ ในครัวของแม่ ไม่นานนักพ่อของเขาก็ได้เห็นความเป็นอัจริยะ จึงได้จัดให้มีการแข่งขันท้าประลองเกิดขึ้น และ Willie ก็สามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอายุและประสบการณ์เหนือกว่าตนเองมากมายได้ ทั้ง ๆ ที่เขายัง ต้องยืนบนกล่องต่อขาเพื่อให้สูงถึงโต๊ะจนเล่นได้ก็ตาม
ใน ปี 1919 ได้มีการจัดการแข่งขันระหว่างหนูน้อย Willie วัย 6 ขวบและแชมป์โลกอย่าง Ralph Greenleaf แม้ Greenleaf จะเป็นผู้ชนะแต่ Willie ก็เล่นได้ดีมากและทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบิลเลียดอาชีพตั้งแต่บัดนั้น และในปี 1924 Willie ก็ได้เป็นแชมป์ straight pool (พูล 15 ลูก) เยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 11 ปี และมีงานเดินสายโชว์เทคนิคการเล่นอย่างสม่ำเสมอ
ใน ช่วงปี 1941-1957 Willie ก็ได้ครองแชมป์ BCA (Billiard Congress of America) World Championship ถึง15 สมัย เป็นผู้ริเริ่มเทคนิคใหม่ ๆ ในการตีบิลเลียด สร้างสถิติมากมาย และยังช่วยทำให้กีฬาบิลเลียดกลายเป็นที่นิยมอีกด้วย ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นเจ้าของสถิติสูงสุดในการตีลูกได้ติดต่อกัน ถึง 526 ลูกในการแข่งขัน Straight Pool
8. Fabiano Luigi Caruana: แกรนมาสเตอร์หมากรุกอายุน้อยที่สุด
Fabiano หนุ่มน้อยสองสัญชาติ (อเมริกัน-อิตาลี) ปัจจุบันอายุ 16 ปี เขาได้เป็นแกรนมาสเตอร์ตั้งแต่ปี 2007 ตอนนั้นเขามีอายุเพีย 14 ปี 11 เดือน 20 วัน ถือได้ว่าอายุน้อยที่สุดในประวัติศาตร์ของอิตาลีและอเมริกา และเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาสมาพันธ์หมากรุกโลก (World Chess Federation (FIDE)) ได้ประกาศว่า Fabiano นั้นมีอันดับโลกอยู่ที่ 2649 ทำให้ เขากลายเป็นนักหมากรุกที่มีอันดับสูงสุดสำหรับรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี
7. Michael Kevin Kearney: รับปริญญาใบแรกเมื่ออายุ 10 ขวบและกลายเป็นเศรษฐีจากการเล่นเรียลลิตี้โชว์
หนุ่มวัย 24 ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดในโลก และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่ออายุเพียง 17
ในปี 2008 เขาชนะ้รางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐจากการเล่นเกมโชว์ที่ชื่อว่า Who Wants to be a Millionaire? นอกจากนี้เขายังทำสถิติโลกไว้อีกหลายอย่าง
Kearney เริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 4 เดือน เมื่ออายุได้ 6 เดือน เขาบอกกับกุมารแพทย์ของเขาว่า "ผมติดเชื้อที่หูซ้ายฮะ" อายุ 10 เดือนก็เริ่มเรียนเขียนอ่าน อายุ 4 ขวบได้เข้าร่วมการทดสอบทางคณิตศาสตร์ของสถาบัน Johns Hopkins และได้คะแนนเต็ม เรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุ 6 ขวบ และเข้าเรียนที่ Santa Rosa Junior College จนจบปริญญาเมื่ออายุ 10 ขวบ
ในปี 2006 ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วโลกเมื่อเขาเล่นเกมออนไลน์ Gold Rush จนชนะและได้รางวัล 1 ล้านเหรียญเป็นคนแรก
Fabiano หนุ่มน้อยสองสัญชาติ (อเมริกัน-อิตาลี) ปัจจุบันอายุ 16 ปี เขาได้เป็นแกรนมาสเตอร์ตั้งแต่ปี 2007 ตอนนั้นเขามีอายุเพีย 14 ปี 11 เดือน 20 วัน ถือได้ว่าอายุน้อยที่สุดในประวัติศาตร์ของอิตาลีและอเมริกา และเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาสมาพันธ์หมากรุกโลก (World Chess Federation (FIDE)) ได้ประกาศว่า Fabiano นั้นมีอันดับโลกอยู่ที่ 2649 ทำให้ เขากลายเป็นนักหมากรุกที่มีอันดับสูงสุดสำหรับรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี
7. Michael Kevin Kearney: รับปริญญาใบแรกเมื่ออายุ 10 ขวบและกลายเป็นเศรษฐีจากการเล่นเรียลลิตี้โชว์
หนุ่มวัย 24 ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดในโลก และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่ออายุเพียง 17
ในปี 2008 เขาชนะ้รางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐจากการเล่นเกมโชว์ที่ชื่อว่า Who Wants to be a Millionaire? นอกจากนี้เขายังทำสถิติโลกไว้อีกหลายอย่าง
Kearney เริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 4 เดือน เมื่ออายุได้ 6 เดือน เขาบอกกับกุมารแพทย์ของเขาว่า "ผมติดเชื้อที่หูซ้ายฮะ" อายุ 10 เดือนก็เริ่มเรียนเขียนอ่าน อายุ 4 ขวบได้เข้าร่วมการทดสอบทางคณิตศาสตร์ของสถาบัน Johns Hopkins และได้คะแนนเต็ม เรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุ 6 ขวบ และเข้าเรียนที่ Santa Rosa Junior College จนจบปริญญาเมื่ออายุ 10 ขวบ
ในปี 2006 ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วโลกเมื่อเขาเล่นเกมออนไลน์ Gold Rush จนชนะและได้รางวัล 1 ล้านเหรียญเป็นคนแรก
6. Saul Aaron Kripke: Harvard( มหาวิทยาลัยอันดับ1 ของโลก) เชิญให้ไปสมัครเป็นอาจารย์ขณะที่ยังเรียนไฮสคูล
Kripke เป็นลูกชายของพระแรบไบ เกิดที่นิวยอร์คและโตที่ Omaha รัฐ Nebraska เริ่มศึกษาพีชคณิตเมื่อตอนอยู่เกรด 4 และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิตและแคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่ง และเริ่มหันไปให้ความสนใจกับปรัชญา
Kripke เขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ (semantics) และตรรกวิทยาแบบ modal logic ในขณะที่มีอายุเพียง 16 ปี และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้นทำให้เขาได้รับจดหมายเชิญจากภาควิชา คณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เชิญชวนให้เขาไปสมัครเป็นอาจารย์ ซึ่งเขาก็ได้เขียนตอบปฎิเสธไปว่า "แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนให้จบไฮสคูลและมหาวิทยาลัยเสียก่อนดีกว่า" และเมื่อเขาเรียนจบไฮสคูลเขาก็เลือกเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด
Kripke ได้รับรางวัล Shock Prize ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล ปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่า เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิต
5. Aelita Andre : หนูน้อยที่มีผลงานภาพออกแสดงในแกลลอรี่มีชื่อเสียง ด้วยวัยเพียง 2 ขวบ
ศิลปินแนว Abstract อายุเพียง 2 ขวบผู้นี้ได้กลายเป็นบุคคลที่ชาวออสเตรเลียกล่าวถึงเป็นอันมาก เมื่อผลงานของเธอได้ออกแสดงใน Brunswick Street Gallery ใน Melbourne's Fitzroy
Mark Jamieson ผู้อำนวยการของแกลลอรี่ดังกล่าวได้เห็นภาพที่ Nikka Kalashnikova นักถ่ายภาพคนหนึ่งที่มีงานแสดงในแกลลอรีนำมาให้ดูและเขาก็ชอบจนตกลงใจที่จะ จัดการแสดงภาพเหล่านั้น จนเมื่อได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานในนิตยสารต่าง ๆ แล้ว เขาจึงได้ทราบว่าเจ้าของผลงาน คือลูกสาวของ Kalashnikova นั่นเอง และมีอายุเพียง 22 เดือน แม้ Jamieson รู้สึกอับอายไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจที่จะแสดงผลงานของหนูน้อยต่อไป
4. Cleopatra Stratan : นักร้องเด็กอายุเพียง 3 ขวบ มีรายได้ 1,000 ยูโรต่อเพลง (47,000-48,000 บาท)
Clepotra เกิดเมื่อ 6 ตุลาคม 2002 ที่เมืองคีชีเนา ประเทศมอลโดวา เป็นลูกสาวของนักร้องเชื้อสายมอลโดวา-โรมาเนีย เธอเป็นนักร้องอายุน้อยที่สุดที่ประสบความสำเร็จด้วยอัลบั้มในปี 2006 ของเธอที่ชื่อว่า"At the age of 3" และยังเป็นเจ้าของสถิติศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เปิดการแสดงสดตลอด 2 ชั่วโมงต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก เป็นศิลปินเด็กที่ค่าตัวสูงสุด เป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่จะได้รับรางวัล MTV และเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่มีเพลงติดชาร์ตอันดับหนึ่งในประเทศโรมาเนีย
http://www.youtube.com/watch?v=GDq-E708lHU ( ลองเข้าไปฟังเพลงของเธอได้ ตามลิ้งค์ด้านบนเลยค่ะ ^^ )
3. Akrit Jaswal : ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ
Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า "เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก" เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ กันในอินเดีย ประเทศที่มีประชากรนับพันล้านคน
Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000 เมื่อเขาได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง 7 ขวบ คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอได้ มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน Akrit ในตอนนั้นยังไม่ได้เรียนแพทย์อย่างเป็นทางการและยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่า ตัดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีก ครั้ง ขณะนี้ Akrit กำลังเรียนปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่ วิทยาลัย Chandigarh และเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน
2. Gregory Smith: ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่ออายุ เพียง 12 ปี
Gregory เกิดในปี 1990 อ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบ ความเป็นอัจฉริยะของเขานั้นยังไม่ได้ครึ่งของเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้ เมื่อเขาตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิ เด็ก
Gregory Smith เป็นผู้ก่อตั้ง International Youth Advocates ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพและความเข้าอกเข้าใจในระหว่างเยาวชนทั่วโลก เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Clinton และ Mikhail Gorbachev และยังเคยปฐกถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย
จากการทำงานด้านมนุษยธรรมนี้ ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4 ครั้ง แต่ความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับคือ...มีใบขับขี่เป็นของตัวเองได้ซะทีนั่นเอง 1. Kim Ung-Yong: เข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 4 ขวบ จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมี IQ สูงที่สุดในโลก
Kim Ung-Yong เกิดในปี 1962 และอาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records ได้บันทึกว่าเขามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210
คิมอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ ตอนวันเกิดครบ 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคิวลัส (differential and integral calculus) ที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี
คิม เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3 - 6 ขวบ พออายุ 7 ขวบ NASA ได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 เสียอีก ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งเขากลับเกาหลีในปี 1978 และได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิกส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธาและได้ศึกษาจนได้รับ ปริญญาเอกอีกเช่นกัน
ขอบอกเป็นวิทยาทาน ทานจะได้ดีตลอดไป
ตำราแก้โรคร้าย หายป่วยจากโรคมะเร็งอย่างไม่คาดคิด สำหรับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ รับประทาน 2 - 3 เดือน 1 หัวข่า 3 ตำลึง 2 หัวขิง 3 ตำลึง 3 ก้อนเกลือ 3 ก้อน เมื่อได้ยาแล้วใช้น้ำครึ้งขัน ทิ่งไว้ประมาณ 3 ชม รับประทาน 3 ช.ม. รับประทาน 4 - 5 เดือน จะหายเป็นปลิดทิ่ง ตำรายานี้ห้ามนำไปขายหรือคิดเงินแต่อย่างใด และถ้าไม่ถ่ายทอดให้ผู้อื่นรู้จะมีอันเป็นไปทั้งครอบครัว ขอท่านจงบอกต่อ ๆ ไปด้วยเป็นทานเป็นกรุณาแก่ทาน ส่ง ค่อ 20 คน นะครับ ปรารถนาสิ่งใดจะสมหวังทุกประการ พระครูวิจิตร ธรรมโชติ
วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ผู้ชายเพอร์เฟค
ผู้ชายเพอร์เฟคสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 15-22 ปี
1 หล่อ
2 มีเสน่ห์
3 ฐานะทางการเงินดี
4 เป็นนักฟังทีดี
5 ฉลาด 6 หุ่นดี
7 แต่งตัวดี
8 อะเอียดละอ่อน ประณีต พิถีพิถัน
9 มีความกระตือรือร้น
10 เป็นคู่รักโรแมนติก เป็นชายในฝัน
ผู้ชายเพอร์เฟคสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 23-42 ปี
1 หน้าตาดูไม่อุบาทว์ ถึงหัวล้านก็ไม่เป็นไร
2 รู้จักผงกหัวรับในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่เราพูดบ้างก้อพอ
3 มีหน้าที่กานงานดี พอที่จะเลี้ยงข้าวเราได้
4 รู้จักนำเรื่องตลกมาเล่าบ้าง
5 สุขภาพแข็งแรงพอที่จะเคลื่อนย้ายฟอนิเจอร์ในบ้านได้
6 มักสวมเสื้อผ้า ปกคลุมพุงไว้มิดชิด
7 ไม่พูดถึงรูปลักษณะที่ร่วงโรยของวัยให้เราสะเทือนใจ
8 รู้จักโกนหนวดโกนเคราตัวเองบ้างสัปดาห์ล่ะครั้งก็ยังดี
ผู้ชายเพอร์เฟคสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 43-52 ปี
1 รู้จักดูแลจมูกตัวเองอย่าให้ยาวยื่นออกมามากนัก(จมูกยาวเหมือนพินักครีโอ้)
2 อย่าเรอ อย่าเผยลม หรือเกาตูดในที่สาธรณะ
3 อย่ายืมเงินชาวบ้านบ่อยนัก
4 อย่าสัปหงกในขณะที่เราโกรธ
5 อย่าเล่าเรื่องโจ๊ก ซ้ำๆ บ่อยๆ
6 อย่าขี้เกี้ยจอาบน้ำมากนัก
7 รู้จักสวมถุงเท้าสีเดียวกันทั้งสองข้างบ้าง
8 ทานอาหารเย็นหน้าจอทีวีด้วยกัน
9 จำชื่อเราได้ในวาระที่เหมาะสม
10 รู้จักไปตัดผมโกนหนวดเองโดยทีเราไม่ต้องบอก
ผู้ชายเพอร์เฟคสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 53-62 ปี
1 อย่าตะคอกเด็กๆ
2 จำได้ว่าห้องน้ำอยู่ที่ไหน
3 ไม่ต้อเข้าโรงพยาบาลบ่อยนัก
4 เวลาหลับอย่ากรน
5 พอจำวันเดือนปีเกิดเราได้
6 รูปร่างพอดูได้
7 จำได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เช่น กำลังหัวเราะเรื่องอะไรอยู่
ผู้ชายเพอร์เฟคสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 72 ปี
1 ยังหายใจอยู่ก็พอ …
1 หล่อ
2 มีเสน่ห์
3 ฐานะทางการเงินดี
4 เป็นนักฟังทีดี
5 ฉลาด 6 หุ่นดี
7 แต่งตัวดี
8 อะเอียดละอ่อน ประณีต พิถีพิถัน
9 มีความกระตือรือร้น
10 เป็นคู่รักโรแมนติก เป็นชายในฝัน
ผู้ชายเพอร์เฟคสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 23-42 ปี
1 หน้าตาดูไม่อุบาทว์ ถึงหัวล้านก็ไม่เป็นไร
2 รู้จักผงกหัวรับในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่เราพูดบ้างก้อพอ
3 มีหน้าที่กานงานดี พอที่จะเลี้ยงข้าวเราได้
4 รู้จักนำเรื่องตลกมาเล่าบ้าง
5 สุขภาพแข็งแรงพอที่จะเคลื่อนย้ายฟอนิเจอร์ในบ้านได้
6 มักสวมเสื้อผ้า ปกคลุมพุงไว้มิดชิด
7 ไม่พูดถึงรูปลักษณะที่ร่วงโรยของวัยให้เราสะเทือนใจ
8 รู้จักโกนหนวดโกนเคราตัวเองบ้างสัปดาห์ล่ะครั้งก็ยังดี
ผู้ชายเพอร์เฟคสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 43-52 ปี
1 รู้จักดูแลจมูกตัวเองอย่าให้ยาวยื่นออกมามากนัก(จมูกยาวเหมือนพินักครีโอ้)
2 อย่าเรอ อย่าเผยลม หรือเกาตูดในที่สาธรณะ
3 อย่ายืมเงินชาวบ้านบ่อยนัก
4 อย่าสัปหงกในขณะที่เราโกรธ
5 อย่าเล่าเรื่องโจ๊ก ซ้ำๆ บ่อยๆ
6 อย่าขี้เกี้ยจอาบน้ำมากนัก
7 รู้จักสวมถุงเท้าสีเดียวกันทั้งสองข้างบ้าง
8 ทานอาหารเย็นหน้าจอทีวีด้วยกัน
9 จำชื่อเราได้ในวาระที่เหมาะสม
10 รู้จักไปตัดผมโกนหนวดเองโดยทีเราไม่ต้องบอก
ผู้ชายเพอร์เฟคสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 53-62 ปี
1 อย่าตะคอกเด็กๆ
2 จำได้ว่าห้องน้ำอยู่ที่ไหน
3 ไม่ต้อเข้าโรงพยาบาลบ่อยนัก
4 เวลาหลับอย่ากรน
5 พอจำวันเดือนปีเกิดเราได้
6 รูปร่างพอดูได้
7 จำได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เช่น กำลังหัวเราะเรื่องอะไรอยู่
ผู้ชายเพอร์เฟคสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 72 ปี
1 ยังหายใจอยู่ก็พอ …
วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
พิพิธภัณฑ์ชีวิต
อีกไม่เกิน 3 เดือนวัดพระบาทน้ำพุต้องปิดลง!!ถ้าไม่ช่วย อีกไม่ เกิน 3 เดือน วัดพระบาทน้ำพุ ต้องปิดลง ทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี ที่มีหลวงพ่ออลงกตเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งท่านได้อุทิศตัวช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์และเด็กกำพร้ามาสิบกว่าปี แล้ว ทั้งๆที่ท่านมีพร้อม ทุกอย่าง จบการ ศึกษาระดับปริญญาโทวิศวะจากออสเตรเลีย แต่ท่านก็เสียสละ ได้ เพียงเพราะท่านเห็น ว่า ผู้ป่วยโรคเอด ส์นั้นไร้ที่พึ่ง จริงๆ ขนาดบางคนพอพ่อแม่รู้ว่าติดเชื้อ เอดส์ ยังรังเกียจและทอดทิ้งลูกของตัว เองได้เลย หลวงพ่อท่านเห็นว่า ถ้าท่านไม่ช่วยพวกเขาเหล่า นี้ ท่านก็ไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็น มนุษย์ได้ ทุก วันนี้ ที่วัดมีผู้ป่วยและเด็กกำพร้าที่ หลวงพ่อต้องคอยดูแลรวมถึงพนักงานและอาสาสมัครราวหนึ่งพันคน ค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ สามล้าน กว่าบาท แต่ยอดบริจาคกลับน้อยลง เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา เห็นว่า ลดลงเหลือเพียงเดือนละสองแสนบาทเอง ส่วนรัฐบาลก็ช่วยเหลือเพียงเดือนละหนึ่งแสนบาทเท่า นั้น เคยโทรไปถามที่วัด เกี่ยวกับสถานะทางารเงิน พนักงานก็บอกว่า รายรับเท่าเดิม แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทุกวัน ค่ายารักษาหรือเพิ่มภูมิต้านทานก็ แสนจะแพง แถมผู้ป่วยก็มีแต่จะเพิ่มมาก ขึ้น ทางวัดจะไม่รับก็ไม่ ได้ เนื่องจากมีคนพาผู้บ่วยมาทิ้งไว้ที่ หน้าประตูวัดเสมอ ซึ่งพวกเขาก็ไม่มีทางไป ที่วัดก็เมตตาช่วยเหลือแม้กระทั่งคน ชราและเด็กที่คนในครอบครัวเสียชีวิต เพราะเอดส์แล้วไม่มีใครดูแล ตอนนี้ต้องมีการส่ง ผู้ป่วยที่อาการดีแล้วและพอมีฐานะกลับบ้านบ้าง แล้ว และอีกสามเดือนอาจต้องปิดตัว ลง!!!!!!หลวงพ่อเองต้องลงมาบิณฑบาตรที่ กรุงเทพฯทุกสัปดาห์ ต้องไปหลายที่ต่อ หนึ่งวัน เพราะรอนไปช่วยเหลือถึงวัด ไม่ไหว เห็นแล้วก็เหนื่อยแทน จริงๆ เมืองไทยมีผู้ติดชื้อเอดส์มาก เป็นอันดับสี่ของโลกแล้ว และแนวโน้มก็มี มากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนทางกับอายุของผู้ที่ ติดเชื้อเอดส์ซึ่งกลับกลายเป็นว่าอายุน้อยลง ทุกที อยากให้พวกเราเข้าใจว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาของประเทศชาติและ เป็นเรื่องของพวกเราทุกคนที่ต้องช่วยกัน พวกเราสามารถช่วยได้หลายรูปแบบ ขณะนี้หลวงพ่อท่านมารับบริจาคทุกวัน เสาร์ ตั้งแต่ 8.30 น. -10.00 น. ที่สวน ลุมไนท์บาร์ซาร์ ข้างๆอาคารบีอีซี เท โร สามารถบริจาคเป็นเงิน (ดีที่สุด), ยา, ผ้าอ้อม, สำลี, ของอุปโภคบริโภคต่างๆ, หนังสือ, เสื้อผ้า ฯลฯ หรือบริจาคผ่านธนาคาร ให้กับ ' กองทุนอาทรประชานาถ ถ้าสามารถทำเป็นรายเดือนได้จะดีมาก ราย ละเอียดของเบอร์บัญชีมีดังนี้
ธ.กรุงเทพฯ สาขา ลพบุรี 289-0-84697-1
ธ.ทหารไทย สาขา ลพบุรี 304-2-41277-9
ธ.ไทย พาณิชย์ สาขาลพบุรี 579-2-33730- 7
ธ.กรุงศรีอยุธยา สาขา ลพบุรี 111-1-47300-7
ธ.นครหลวง ไทย สาขาลพบุรี 340-2-14976-0
ธ.เพื่อการเก ษตรและสหกรณ์การเกษตร
สาขานางเลิ้ง 000-2-12022-0และสุดท้ายที่พวกเราสามารถช่วย ได้เดี๋ยวนี้ คือ การบอกต่อถึงเรื่องนี้ นะครับ
ธ.กรุงเทพฯ สาขา ลพบุรี 289-0-84697-1
ธ.ทหารไทย สาขา ลพบุรี 304-2-41277-9
ธ.ไทย พาณิชย์ สาขาลพบุรี 579-2-33730- 7
ธ.กรุงศรีอยุธยา สาขา ลพบุรี 111-1-47300-7
ธ.นครหลวง ไทย สาขาลพบุรี 340-2-14976-0
ธ.เพื่อการเก ษตรและสหกรณ์การเกษตร
สาขานางเลิ้ง 000-2-12022-0และสุดท้ายที่พวกเราสามารถช่วย ได้เดี๋ยวนี้ คือ การบอกต่อถึงเรื่องนี้ นะครับ
วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
เมื่อกิ๊กกะจู้ขอขึ้นเงินเดือน...ขำขำ นะครับ เอาให้ฮาเลย
To: เรียนผู้จัดการฝ่ายบุคคล กระผมนายกาเจี๊ยวมีความประสงค์ขอขึ้นเงินเดือนโดยมีเหตุผลดังต่อไปนี้
1. กระผมเป็นผู้ใช้แรงงาน
2. กระผมทำงานในที่ลึกมาก ....
3. กระผมต้องสอดหัวเข้าไปก่อนทุกครั้งที่ทำงาน
4. กระผมไม่มีวันหยุดสุดสัปดาห์และไม่เคยหยุดวันนักขัตฤกษ์
5. กระผมทำงานในที่มีสภาวะแวดล้อมอับชื้น !!!
6. กระผมทำงานในที่มืดและไม่! มีอากาศถ่ายเท
7. กระผมทำงานในที่ร้อนอบอ้าว 8. กระผมไม่เคยได้รับค่าล่วงเวลา
9. กระผมทำงานที่เสี่ยงกับโรคติดต่อ!
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ====================================== จดหมายตอบจากทางฝ่ายบุคคล เนื่องจะคณะกรรมการได้พิจารณาแล้วเห็นว่า คุณไม่สมควรได้รับการขึ้นเงินเดือนเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ เป็นพนักงานที่ดีหลายประการ ดังที่ได้แจ้งรายละเอียดดังนี้
1. คุณไม่ได้ทำงาน 8 ชม / วัน
2. คุณงีบหลับหลังจากเสร็จงานเสมอ 3. คุณไม่ทำตามคำสั่งบ่อยๆ
4. คุณไม่ชอบทำงานในที่ประจำของคุณ และชอบแว๊บไปรับงานที่อื่นบ่อยๆ
5. คุณมักไม่ทำงานโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า และหลายครั้งที่หยุดงานกลางคัน
6. คุณไม่มีความเป็นผู้นำ ต้องอาศัยแรงก ระตุ้นจากภายนอก ให้ทำงาน
7. คุณทิ้งให้ที่ทำงาน สกปรกเลอะเทอะทุกครั้งเมื่อเสร็จงาน
8. คุณมักไม่ชอบปฎิบัติตามกฎแห่งความปลอดภัย โดยไม่สวมอุปกรณ์ป้องกัน
9. หลายครั้งคุณไ ม่สามารถทำงานควบสองกะต่อเนื่องได้
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
1. กระผมเป็นผู้ใช้แรงงาน
2. กระผมทำงานในที่ลึกมาก ....
3. กระผมต้องสอดหัวเข้าไปก่อนทุกครั้งที่ทำงาน
4. กระผมไม่มีวันหยุดสุดสัปดาห์และไม่เคยหยุดวันนักขัตฤกษ์
5. กระผมทำงานในที่มีสภาวะแวดล้อมอับชื้น !!!
6. กระผมทำงานในที่มืดและไม่! มีอากาศถ่ายเท
7. กระผมทำงานในที่ร้อนอบอ้าว 8. กระผมไม่เคยได้รับค่าล่วงเวลา
9. กระผมทำงานที่เสี่ยงกับโรคติดต่อ!
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ====================================== จดหมายตอบจากทางฝ่ายบุคคล เนื่องจะคณะกรรมการได้พิจารณาแล้วเห็นว่า คุณไม่สมควรได้รับการขึ้นเงินเดือนเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ เป็นพนักงานที่ดีหลายประการ ดังที่ได้แจ้งรายละเอียดดังนี้
1. คุณไม่ได้ทำงาน 8 ชม / วัน
2. คุณงีบหลับหลังจากเสร็จงานเสมอ 3. คุณไม่ทำตามคำสั่งบ่อยๆ
4. คุณไม่ชอบทำงานในที่ประจำของคุณ และชอบแว๊บไปรับงานที่อื่นบ่อยๆ
5. คุณมักไม่ทำงานโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า และหลายครั้งที่หยุดงานกลางคัน
6. คุณไม่มีความเป็นผู้นำ ต้องอาศัยแรงก ระตุ้นจากภายนอก ให้ทำงาน
7. คุณทิ้งให้ที่ทำงาน สกปรกเลอะเทอะทุกครั้งเมื่อเสร็จงาน
8. คุณมักไม่ชอบปฎิบัติตามกฎแห่งความปลอดภัย โดยไม่สวมอุปกรณ์ป้องกัน
9. หลายครั้งคุณไ ม่สามารถทำงานควบสองกะต่อเนื่องได้
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
นายอภิรักต์ แซ่ฮ้ง ยอดคนกตัญญู
เชิดชูคนยอดกตัญญูนะครับ เป็นคนเก็บขยะนะครับ ที่มาเล่าให้ฟังนะครับเข้าเป็นคนทีไม่งอมืองอเท้านะครับ ถึงคิดช้ากว่าคนอื่นแต่ก็สามารถทำงานได้ ผมได้นั่งดู รายการตั 10 นะครับ ที่น่าสนใจก็คือเขาจะเข้าๆ ออกๆ ธนาคารอยู่ประจำนะครับ ตอนแรกผมไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรที่ธนาคารนะครับ พอได้ดูก็ถึงบางอ้อครับ เขาไปฝากเงินกับธนาคารครับ แต่เขาฝากเงินไม่มากนะครับ ฝากที่ละ 20 บาทนะครับ พิธีกรก็ถามว่าฝากเท่าไร นายอภิรักต์ ก็บอกว่า ฝาก 20 ครับ ผมเลยอึ้งนะครับ ฝาก มา 16 ปีแล้วนะครับ ก็ได้ ราวๆ 40,000 กว่าบาทนะครับ แล้ว รายการตี 10 ก็ไปทำความสะอาดบ้านให้นะครับเพราะว่า มีแต่ขยะ จนทำให้นายอภิรักตืเป็นโรคหอบหืน พิธีกรถามว่าฝากเงินเพราะอะไรนะครับเขาก็บอกว่าฝากเพื่อ เป็นค่ารักษาโรคหัวใจของแม่นะครับ นี้คือคุณธรรมอย่างหนึ่งที่เห็นชัดก็คือ ความกตัญญู ซึ่งเป็นคุณธรรมที่คนไทยเราปฎิบัติกันมา คนไทยถือความกตัญญูเป็นสำคัญ แล้วคุณ วิทวัส สุททรวิเนตร์ ก็มีน้ำใจให้เงินกับเขาไป 10,000 บาทนะครับ เมือเขาไปฝากเงินกับธนาคารแล้วเขาก็ไปบอกแม่ว่า คุณ วิทวัส สุททรวิเนตร์ ให้เงินมาผมเลยซึ่งเลยครับ แสดงถึงความรักที่เขามีต่อแม่ว่ามีมากเพียงใด ผมอยากให้มีรายการแบบนี้มานำเสนอบ้าง ดีกว่าทำรายการแบบ สิ่งลึกลีบอะไรเทือกนั้นนะครับ ผมว่ามันจรรโลงสังคมนะครับ สังคมเรายังมีคนแบบนี้อีกเยอะนะครับ ผมว่า มันเป็นตัวอย่าวที่ดีต่อสังคมนะครับ จงยกย่องคนดีของสังคมนะครับ
ดาราสาวที่ Hot ที่สุด
สวัสดีครับวันนี้เราจะเขียนเรื่องดาราที่มีแฟนคลับมากที่เดียวนะครับ คือน้องแพนเค็ก เขมนิจ จามิกรณ์ เรามารู้จักประวัติของน้องเขาสักเล็กหน่อยนะครับ เกิดเมือวันที่ 27 พ.ค.31 เป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิดนะครับ ผมว่าหน้าตาแบบนี้คนกรุงเทพแน่นอนที่เดียว 5555+ นะครับ เป็นคนที่มีอุปนิสัยเรียบง่าย สนุกสนาน และเป็นคนไม่เครียด ตอนนี้เรียนอยู่ที่ ม.เกษตรครับ สิ่งที่น้องแพนเค็กไม่ชอบเอาเสียเลย คือ แมลงสาบกับแมงมุม และก็สิ่งที่น้องเขาภูมิใจที่สุดคือ การประกวด TSM 2004 และ Model of the world สีที่น้องเขาชอบนะครับ คือ สีขาวกับชุมพู ให้ผมทำนายนิสัยกับสีที่น้องเขาชอบนะครับ ( สีขาวก่อนครับ )น้องแพนเค้กเข้าจะเป็นคนละเอียดออน่นะครับ เป็นคนรักสะอาด เป็นคนเจ้าระเบียบ กล้าแสดงออก (สีชุมพู) เป็นคนหวาน ๆ โรแมนติกในระดับหนึ่งนะครับ และบ้างครั้งไม่มีความมั่นใจในตัวเองนะครับ ชอบถามเพื่อนในกลุ่มของตัวเองนะครับ อันนี้เป็นการทำนายนะครับ อย่าไปติดใจกับเรื่องแบบนี้ให้มากนะครับ เรามาเข้าเรื่องกันอีกนะครับ ผลงานที่สร้างชื่อเสียงคือ : ละคร เรื่อง อภิมหึมามหาเศรษฐี รับบทเป็น องค์อินทร์ ละคร เรื่อง เหลี่ยมเพชรกะรัต รับบทเป็น กะรัต ใครที่ติดตามน้องแพนเค้กก็เป็นกลังใจให้น้องเขานะครับ ก็ติดตามผลงานของน้องเขาไปตลอดนะครับ วันนี้เอาพอแค่นี้นะครับ
วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
บทความน่าคิด ลองเอาไปคิดดู
การที่เราจะคบหาหรือรู้จักใครสักคน ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ควรท่อง ควรจำไว้อยู่เสมอก็คือ คน เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีทั้งด้านบวก และด้านลบ อยู่ในนั้น อย่าตั้งใจกับคน 1 คนมากเกินไป เพราะไม่มีใครอยากเป็นต้นเหตุของความล้มเหลว อย่าคาดหวังกับ คน 1 คนมากเกินไป เพราะไม่มีใครสามารถเป็นทุกอย่าง ที่ทุกคนอยากให้เป็น อย่าให้เวลากับคน 1 คนมากเกินไป เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีช่วงเวลาของความเป็นส่วนตัว. . . คนเดียว .... อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคน 1 คนมากเกินไป เพราะนั่นจะทำให้เค้าไม่หลงเหลือความเป็นตัวของตัวเอง อย่าควบคุมชีวิตคน 1 คนมากเกินไป เพราะมนุษย์มักจะหาวิธีการแทรกตัว เพื่อออกมาจากกฎที่ถูกกำหนด อย่าบีบบังคับคน 1 คนมากไปกว่านี้ เพราะถ้าคนๆนั้น หลุดจากภาวะบีบบังคับมาได้ คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกหันหลังให้ในทันที
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
แฮกเกอร์ป่วนทั้วโลก
วันนี้นะครับเรามาคุยกันเรื่อภัยของแฮกเกอร์ ใน 7 - 9 ที่ผ่านมานะครับ ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์และเว็บไซด์หน่วยงานของเกาหลีใต้ถูกแอกเกอร์โจมตี โดยคาดว่าจะเป็นโสมแดงในการแฮกเข้าไปครั้งนี้นะครับโดยมีการค้นหาแฮกเกอร์ระดับเซียนอยู่ในห้องแล็บประมาณ 110 แล็บ หรือประมาณ 1,000 คนนะครับ โดยข้อมูลที่เข้าไปทำลายเน็ตเวอร์คจนอินเตอร์เน็ตใช่ไม่ได้ เว็บไซด์ที่ถูกทำลายคือเว็บไซด์ของกระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้และเว็บไซด์ของทำเนียบประธานาธิบดีรวมทั้งบริษัทให้บริการอินเตอร์เน็ตกว่า 438 ราย ไม่เฉพาะเกาหลีใต้เท่านั้นเว็บไซด์ของสหรัฐอเมริกาก็โดนโจมตีด้วย มีผู้กว่าวว่าเป็นการโจมตีโดยวิธี DDOS ลักษณะของ DDOS คือการส่งข้อมูลจำหน่วยมากมหาศาลให้ไหลเข้าไปในเว็บไวด์หรือเน็ตเวอ ร์ค เพื่อให้ระบบของคอมพิวเตอร์หนักขึ้นและจะช้าลง ๆ จนเครื่องคอมของเราหยุดทำงาน การโจมตีแบบ DDOS นั้นเมือแฮกเกอร์ส่งข้อมูลที่เป็นภัยเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครื่องใครก็ตามมันจะอยู่ในเครื่องนั้น เรียกว่า ไวรัสซอมบี้ เมื่อเราเล่นคอมพิวเตอร์ที่โดนไวรัสซอมบี้เครื่องจะทำงานตามปกติ แต่เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ แฮกเกอร์จะสั่งเครื่องซอมบี้จากทั้วโลกเข้าไปโจมตีหรือส่งข้อมูลมหาศาลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เป้าหมาย ในที่สุดเครือข่ายจะใช่ไม่ได้ ใครที่มี โอกาศเข้ามาอ่านข้อมูลมันเป็นข้อมูลอย่างดีสำหรับธนาคารหรืออื่นๆๆ ของเรานะครับ ให้ระมัดระวังความปลอดภัยและช่วยกันดูแล นี้เป็นตัวอย่างที่โดนแฮกเกอร์โจมตีเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริการเป็นอย่างดีนะครับ ช่วยกันดูและและศอดศ่องนะครับสังคมจะดีเองนะครับ
วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
5 อันดับหนังทำเงินครับ
สวัสดีครับวันนี้ ผมได้มีโอกาสนั่งดูเว็บไซด์ Boxoffcemojo เลยเอา 5 อันดับหนังที่กวาดรายได้มาฝาก นะครับ มีที่ทำรายได้ต่ออาทิตย์ที่ ฉายได้เท่ากันนะครับ แต่ผลรามรายได้ไม่เท่ากันนะครับ เรามาเรื่มกันนะครับ จาก อันน้อยไปหามากนะครับ 1. Transformers:Revenge of the Fallen อาทิตย์นี้นะครับกวาดรายได้ไปกว่า $ 42,320,877 นะครับ รวมรายได้ที่ฉายมา 2 อาทิตย์นะครับก็ราว $293,355,885 นะครับ แรงยังไม่ตกเลยนะครับ หนังลงทุนไปกว่า $200,000,000 นะครับถือว่า หนังมีผลกำไรอย่างมากนะครับ ทำเงินให้กับบริษัทหนังเลยที่เดียว
1.Ice Age:Dawn fo the Dinosaurs หนังเข้าประมาณอาทิตย์เดียวนะครับก็กวาดรายได้ไป $41,690,682 รวมรายได้ที่ฉายไป ประมาณ 1 อาทิตย์ ก็ราว $66,732,868 นะครับ หนังนะครับเป็นภาคต่อนะครับ เป็นภาคที่สามแล้วนะครับหนังเรื่องลงทุนไปกว่า $ 90,000,000 นะครับ ยังไม่คุ้มทุนนะครับ แต่ผมว่าดูกันไปยาวๆ นะครับ เรื่องนี้อาจได้กำไรก็ได้นะครับ หวังว้าอย่างนั้นนะครับ4.Up หนังฉายไปแล้ว 6 สัปดาห์นะครับ อาทิตย์นี้ได้รายได้ไปกว่า $6,521,389 นะครับ ก็ยังพอมีคนดูอยู่นะครับ รวมรายได้ของหนังอยู่ที่ $264,816,694 นะครับ หนังลงทุนไปประมาณ $175,000,000 ก็รายของหนังนะครับก็ยังไม่ขาดทุนนะครับยังได้กำไรเล็กน้อย นะครับ
5.My Sister’s Keeper หนังฉายไปแค่ 2 สัปดาห์นะครับ รายได้อาทิตย์นี้นะครับ ก็ราว $5,788,267 รวมรายได้ที่เข้าฉายนะครับก็อยู่ราว $26,518,582 นะครับ เรื่องนี้นะครับลงทุนไปประมาณ $30,000,000 นะครับก็ยังขาดอยู่ประมาณ $3,500,000 นะครับ ก็คอยดูกันไปนะครับ หนังฉายแค่ 2 อาทิตย์เองนะครับ
ก็มีหนังอีกมากมายที่ไม่กล่าวถึงนะครับเอาแค่นี้ก่อนะครับใคร รักใครชอบหนังแนวในก็เข้าไปชมไปดูกันนะครับ ดูแล้วอย่าแอบถ่ายเอามาขายนะครับมันผิดกฎหมายนะครับ คอยบริษัททำหนัง ให้ลิขสิทธิในการทำแผ่นขาดก็คอยเอามาดูนะครับ
1.Ice Age:Dawn fo the Dinosaurs หนังเข้าประมาณอาทิตย์เดียวนะครับก็กวาดรายได้ไป $41,690,682 รวมรายได้ที่ฉายไป ประมาณ 1 อาทิตย์ ก็ราว $66,732,868 นะครับ หนังนะครับเป็นภาคต่อนะครับ เป็นภาคที่สามแล้วนะครับหนังเรื่องลงทุนไปกว่า $ 90,000,000 นะครับ ยังไม่คุ้มทุนนะครับ แต่ผมว่าดูกันไปยาวๆ นะครับ เรื่องนี้อาจได้กำไรก็ได้นะครับ หวังว้าอย่างนั้นนะครับ
1.Public Enemies หนังเข้าประมาณอาทิตย์เดียวเช่นกัน ก็กวาดรายได้ไปกว่า $25,271,675 นะครับ ผลรวมในการฉายก็ตกราวๆ $40,141,080 นะครับ ถือว่าบริษัทหนัง ยังไม่ได้กำไรนะครับเพราะ ลงทุนไปกว่า $ 100,000,000 นะครับ
2.The Proposal หนังเข้าฉาย 3 อาทิตย์แล้วครับ แต่อาทิตย์นี้ ได้ไปกว่า $12,857,482 นะครับ รายลดลงนะครับเพราะฉายมานานนะครับแต่ยังมีมาบ้างนะครับ รวมรายได้นะครับก็ราว $94,335,111 นะครับ หนังลงทุนแต่ $40,000,000 นะครับ ถือว่าได้กำไรมหาศาลนะครับ
3.The Hangover หนังเข้าฉายไปแล้ว 5 สัปดาห์นะครับ อาทิตย์นี้นะครับก็ได้ราว $11,268,413 นะครับ รวมรายได้ของหนังอยู่ที่ $205,038,233 นะครับ แต่หนังลงทุนไปกว่า $350,000,000 นะครับไม่รู้ว่าจะเกิดไรขึ้นนะครับ หนังยังขาดทุนอยู่นะครับ5.My Sister’s Keeper หนังฉายไปแค่ 2 สัปดาห์นะครับ รายได้อาทิตย์นี้นะครับ ก็ราว $5,788,267 รวมรายได้ที่เข้าฉายนะครับก็อยู่ราว $26,518,582 นะครับ เรื่องนี้นะครับลงทุนไปประมาณ $30,000,000 นะครับก็ยังขาดอยู่ประมาณ $3,500,000 นะครับ ก็คอยดูกันไปนะครับ หนังฉายแค่ 2 อาทิตย์เองนะครับ
ก็มีหนังอีกมากมายที่ไม่กล่าวถึงนะครับเอาแค่นี้ก่อนะครับใคร รักใครชอบหนังแนวในก็เข้าไปชมไปดูกันนะครับ ดูแล้วอย่าแอบถ่ายเอามาขายนะครับมันผิดกฎหมายนะครับ คอยบริษัททำหนัง ให้ลิขสิทธิในการทำแผ่นขาดก็คอยเอามาดูนะครับ
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
5 อันดับผู้ชายที่สวยที่สุดในประเทศไทย
สวัสดีครับวันนี้เรามีข่าวเบาๆ มาเล่ากันฟังนะครับ ผมจะเขียนถึง 5 อันดับผู้ชายที่สวยที่สุดในประเทศไทยนะครับ เรามาเข้าอันดับกันเลยนะครับ ผมจะเขียนอันดับจากมากไปหาน้อยนะครับ อันดับดังนี้นะครับ
5.โหน่ง - กังสดาล วงศ์ดุษฎีกุล
อายุ 21 ปี / Miss Tiffany’s Universe 2007
ข้อมูลส่วนตัว: “เริ่มใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว และสังเกตเห็นว่าตัวเราเองไม่ชอบเล่นกีฬาแรงๆ แบบผู้ชายเลยเพราะกลัวเจ็บ แล้วเวลาแม่เลือกซื้อเสื้อผ้า เสื้อชั้นใน หรือรองเท้า เราก็มักจะช่วยเลือกด้วย พอแม่ซื้อกลับบ้านมา เราก็แอบเอามาใส่เล่น ตอนนั้นก็กลัวเล็กๆ ว่าจะมีคนรู้ว่าโหน่งเป็นกะเทย จนโตมาอยู่สักชั้นม.4-ม.5 ถึงกล้าแสดงออกได้เต็มที่ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเรียนโรงเรียนชายล้วนนะ จำได้ว่าตอนนั้นกล้ามากขึ้นเพราะในห้องเราเองเป็นแบบเราถึง 7 คน”
4.ไก่โต้ง - รัฐระวี จีระประภากุล
อายุ 25 ปี / Miss Tiffany’s Universe 2006
ข้อมูลส่วนตัว: “ตั้งแต่จำความได้คือไม่รู้ว่ากะเทยหรือตุ๊ดคืออะไร แต่ด้วยความที่ทางบ้านเป็นครอบครัวข้าราชการก็ไม่ได้แสดงออกมาก แต่พอโตขึ้นมาสักม.1 ก็เริ่มรู้สึกว่าเราเบี่ยงเบนแล้วนะ ชอบเล่นอะไรที่เป็นผู้หญิงมาก แต่พอมีใครมาล้อว่าตุ๊ดก็โกรธนะ ตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกว่าเราผิดปกติ นึกสงสัยว่าเราคงจะเป็นเกย์นะ คือมานั่งนึกว่าเกย์กับกะเทยแบบไหนมันง่ายกว่ากัน คิดไปถึงขนาดนั้น รวมทั้งคิดไปถึงเรื่องการยอมรับของสังคมด้วย ซึ่งเกย์ยังสามารถกลบเกลื่อนได้ แต่พอขึ้นมหา’ลัยปี 1 ก็เริ่มมีคนมาชักชวนไปประกวดเวทีสาวประเภทสอง ชีวิตหลังจากนั้นก็เปลี่ยน พอประกวดบ่อยเข้าก็เริ่มรู้สึกได้เองว่าทนเป็นเกย์ไม่ไหวแล้ว สรีระหน้าผมมันเป็นกะเทยหมดแล้ว ก็เลยเอาวะ กะเทยก็กะเทย”3.มิค - มเหศักดิ์ ธรรมธนาคร
อายุ 18 ปี / นักศึกษา
3.มิค - มเหศักดิ์ ธรรมธนาคร
อายุ 18 ปี / นักศึกษา
ข้อมูลส่วนตัว: “เด็กๆ ก็ไม่รู้ตัวเท่าไหร่ ยิ่งพ่อซื้อกระสอบทรายมาให้เตะต่อยเล่นด้วย ก็เลยทำให้มิคเป็นคนนิสัยลุยๆ ห้าวๆ แต่พอโตมาก็ได้มีโอกาสไปเล่นไอซ์สเกต กีฬาของผู้หญิง ทำให้เราตัวอ่อนเข้าไปใหญ่เลย แถมต้องไปเรียนในโรงเรียนชายล้วน ผู้ชายก็ชอบมาแกล้งเพื่อนในกลุ่ม แต่ด้วยความที่มิคเป็นคนห้าวๆ ก็ไม่ค่อยมีคนมายุ่งเท่าไหร่ แม้มิคจะเกิดมาในครอบครัวคนจีนและครอบครัวก็ไม่เข้าใจ แต่พอมานั่งคุยกันอย่างจริงจัง มิคพยายามอธิบายให้ครอบครัวเข้าใจในที่สุด”
2.ฟิล์ม อายุ 20 ปี Miss Tiffany's Universe 2007
ข้อมูลส่วนตัว: มารู้ตังแต่เด็กแต่ไม่แสดงออกเพราะพ่อกับแม่ยังไม่ยอมรับเพื่อนก็ไม่มีใครเป็นเลย เลยต้องเก็บความรู้สึก ด้วยความเป็นเด็กที่ อ.ศรีราชา พ่อจบ ม.6 ก็เข้ามาเรียนกรุงเทพ หลังจากนั้นก็แสดงออกเลยโดยแต่งตัวเป็นผู้หญิง และเดินสายประกวดตามเวทีสาวประเภทสองจนในที่สุดได้ตำแหน่ง Miss Tiffany's Universe 2007 ค่ะ
1.น้องปอย ตรีชฏา
ข้อมูลส่วนตัว: ตอนนั้นปอยก็เล่นให้แม่สบายใจ แต่ใครจะรู้ว่าในห้องนอนของเธอ มีตุ๊กตาบาร์บี้ซ่อนไว้ แต่แล้ววันหนึ่งความก็แตกจนได้ เมื่อแม่มารู้ความจริงว่าเธอมีจิตใจเป็นหญิง แต่แม่ก็ทำใจยอมรับได้ เพราะเธอบอกว่า “มันเป็นเองตามธรรมชาติ หนูไม่ได้อยากเกิดมาเป็นแบบนี้”
นี้ละครับผู้ชายที่ผมว่าสวยที่สุดของประเทศไทย คนเราเลือกเกิดไม่ได้แค่เกิดมาสวยได้ บ้างครั้งผู้หญิงบ้างคนยังอายนะครับ ใครชอบคนไหนก็ดู (ละคร ) หรือเป็นแฟนคลับเอาเองนะครับ
5.โหน่ง - กังสดาล วงศ์ดุษฎีกุล
อายุ 21 ปี / Miss Tiffany’s Universe 2007
ข้อมูลส่วนตัว: “เริ่มใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว และสังเกตเห็นว่าตัวเราเองไม่ชอบเล่นกีฬาแรงๆ แบบผู้ชายเลยเพราะกลัวเจ็บ แล้วเวลาแม่เลือกซื้อเสื้อผ้า เสื้อชั้นใน หรือรองเท้า เราก็มักจะช่วยเลือกด้วย พอแม่ซื้อกลับบ้านมา เราก็แอบเอามาใส่เล่น ตอนนั้นก็กลัวเล็กๆ ว่าจะมีคนรู้ว่าโหน่งเป็นกะเทย จนโตมาอยู่สักชั้นม.4-ม.5 ถึงกล้าแสดงออกได้เต็มที่ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเรียนโรงเรียนชายล้วนนะ จำได้ว่าตอนนั้นกล้ามากขึ้นเพราะในห้องเราเองเป็นแบบเราถึง 7 คน”
4.ไก่โต้ง - รัฐระวี จีระประภากุล
อายุ 25 ปี / Miss Tiffany’s Universe 2006
ข้อมูลส่วนตัว: “ตั้งแต่จำความได้คือไม่รู้ว่ากะเทยหรือตุ๊ดคืออะไร แต่ด้วยความที่ทางบ้านเป็นครอบครัวข้าราชการก็ไม่ได้แสดงออกมาก แต่พอโตขึ้นมาสักม.1 ก็เริ่มรู้สึกว่าเราเบี่ยงเบนแล้วนะ ชอบเล่นอะไรที่เป็นผู้หญิงมาก แต่พอมีใครมาล้อว่าตุ๊ดก็โกรธนะ ตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกว่าเราผิดปกติ นึกสงสัยว่าเราคงจะเป็นเกย์นะ คือมานั่งนึกว่าเกย์กับกะเทยแบบไหนมันง่ายกว่ากัน คิดไปถึงขนาดนั้น รวมทั้งคิดไปถึงเรื่องการยอมรับของสังคมด้วย ซึ่งเกย์ยังสามารถกลบเกลื่อนได้ แต่พอขึ้นมหา’ลัยปี 1 ก็เริ่มมีคนมาชักชวนไปประกวดเวทีสาวประเภทสอง ชีวิตหลังจากนั้นก็เปลี่ยน พอประกวดบ่อยเข้าก็เริ่มรู้สึกได้เองว่าทนเป็นเกย์ไม่ไหวแล้ว สรีระหน้าผมมันเป็นกะเทยหมดแล้ว ก็เลยเอาวะ กะเทยก็กะเทย”3.มิค - มเหศักดิ์ ธรรมธนาคร
อายุ 18 ปี / นักศึกษา
3.มิค - มเหศักดิ์ ธรรมธนาคร
อายุ 18 ปี / นักศึกษา
ข้อมูลส่วนตัว: “เด็กๆ ก็ไม่รู้ตัวเท่าไหร่ ยิ่งพ่อซื้อกระสอบทรายมาให้เตะต่อยเล่นด้วย ก็เลยทำให้มิคเป็นคนนิสัยลุยๆ ห้าวๆ แต่พอโตมาก็ได้มีโอกาสไปเล่นไอซ์สเกต กีฬาของผู้หญิง ทำให้เราตัวอ่อนเข้าไปใหญ่เลย แถมต้องไปเรียนในโรงเรียนชายล้วน ผู้ชายก็ชอบมาแกล้งเพื่อนในกลุ่ม แต่ด้วยความที่มิคเป็นคนห้าวๆ ก็ไม่ค่อยมีคนมายุ่งเท่าไหร่ แม้มิคจะเกิดมาในครอบครัวคนจีนและครอบครัวก็ไม่เข้าใจ แต่พอมานั่งคุยกันอย่างจริงจัง มิคพยายามอธิบายให้ครอบครัวเข้าใจในที่สุด”
2.ฟิล์ม อายุ 20 ปี Miss Tiffany's Universe 2007
ข้อมูลส่วนตัว: มารู้ตังแต่เด็กแต่ไม่แสดงออกเพราะพ่อกับแม่ยังไม่ยอมรับเพื่อนก็ไม่มีใครเป็นเลย เลยต้องเก็บความรู้สึก ด้วยความเป็นเด็กที่ อ.ศรีราชา พ่อจบ ม.6 ก็เข้ามาเรียนกรุงเทพ หลังจากนั้นก็แสดงออกเลยโดยแต่งตัวเป็นผู้หญิง และเดินสายประกวดตามเวทีสาวประเภทสองจนในที่สุดได้ตำแหน่ง Miss Tiffany's Universe 2007 ค่ะ
1.น้องปอย ตรีชฏา
ข้อมูลส่วนตัว: ตอนนั้นปอยก็เล่นให้แม่สบายใจ แต่ใครจะรู้ว่าในห้องนอนของเธอ มีตุ๊กตาบาร์บี้ซ่อนไว้ แต่แล้ววันหนึ่งความก็แตกจนได้ เมื่อแม่มารู้ความจริงว่าเธอมีจิตใจเป็นหญิง แต่แม่ก็ทำใจยอมรับได้ เพราะเธอบอกว่า “มันเป็นเองตามธรรมชาติ หนูไม่ได้อยากเกิดมาเป็นแบบนี้”
นี้ละครับผู้ชายที่ผมว่าสวยที่สุดของประเทศไทย คนเราเลือกเกิดไม่ได้แค่เกิดมาสวยได้ บ้างครั้งผู้หญิงบ้างคนยังอายนะครับ ใครชอบคนไหนก็ดู (ละคร ) หรือเป็นแฟนคลับเอาเองนะครับ
ความลับของมือถือและไฮเทคที่เราไม่รู้ เพราะคนขายไม่บอก
ใครที่ใช้โทรศัพท์มือถือ ตั้งใจอ่านดีๆ อ่านแล้วจะรู้ว่ามือถือไม่ได้มีไว้โทรเข้าโทรออกเท่านั้น แต่ยังมีเคล็ดลับที่ยังไม่รู้ซ่อนอยู่ ถ้าอยากรู้ว่ามีอะไรบ้างลองมาดูกันนะครับ
1.หมายเลขสากลฉุกเฉิน 112 ใช้ได้ที่วโลกถ้าเราเกิดหลงไปอยู่ในที่ไม่มีสัญญานเลย เหตุด่วนเหตุร้ายให้กด 112 แล้วมันจะหาเบอร์ให้อัตโนมัติ แม้แต่เราล็อคปุ่มก็ยังกดเบอร์นี้ได้
2.ใช้ในกรณีที่ลืมกุญแจไว้ในรถ สำหรับรถที่ใช้ Remote Key ถ้าเราล็อคไปแล้ว แต่เรามีกุญแจสำรองอยู่ที่บ้านให้โทรหาคนที่อยู่ที่บ้านด้วยมือถือ (เราต้องโทรไปเบอร์มือถือของเขาด้วยนะ) เมื่อรับโทรศัพท์แล้วบอกเขาให้กดปุ่ม Unlock บนกุญแจสำรองในขณะที่เราถือมือถือให้ห่างจากประตูรถ ประมาณ 1 ฟุต ( ส่วนคนที่อยู่บ้านต้องเอากุญแจไปจ่อใกล้กับมือถือของเขาในขณะที่กดปุ่ม ) ประตูรถก็จะเปิดออก เหมือนเรากดปุ่มรีโมทด้วยตนเอง ระยะทางไม่มีปัญหา แม้รถกับบ้านจะอยู่ห่างกันเป็นร้อยๆ กิโลเมตรก็ตาม
3.กรณีแบตเตอรี่ใกล้จะหมด *3370# สำหรับมือถือ Nokia ถ้าเกิดถ่านเหลือน้อยเต็มทีจนใกล้ดับแล้ว แต่เราจำเป็นต้องโทรออกให้กด *3370# มันจะรีดพลังงานสำรองที่ซ่อนอยู่ออกมา แล้วแสดงให้เราเห็นว่าเพิ่มพลังถ่านขึ้นมาอีก 50 % แล้วมันจะชดเชยส่วนที่สำรองนี้ในการชาร์จแบตเตอรี่ครั้งต่อไป
4.ถ้าโทรศัพท์หายต้องทำให้ใช้ไม่ได้ตลอดไป ในกรณีที่เราใช้หมายเลข Serial Number ประจำเครื่องซึ่งมี 15 - 17 หน่วย การที่จะทราบหมายเลขนี้กด *#06# แล้วหมายเลขประจำเครื่องก็จะขึ้นมาให้เห็นทันที จดไว้แล้วเก็บไว้ให้ดี ทีนี้ถ้ามือถือหายหรือตกหล่นที่ไหน ให้โทรศูนย์แล้วแจ้งหมายเลขให้เขาไป เขาก็จะบล็อกเครื่องของเราให้ แล้วทีนี้มือถือที่หายจะใช้ไม่ได้อีกเลย ถึงแม้ว่าคนขโมยไปจะเปลี่ยน Sim Card ใหม่ก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี แบบนี้สะใจดี โดยเฉพาะคนชอบขโมยมือถือคนอืน
ก็มีแค่นี้แหล่ะครับง่าย ๆ แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ ( เพิ่งค้นพบมาลองใช้กันดู )
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)